
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับ สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แห่งชาติจีน คณะกรรมการเทศบาลเมืองเซินเจิ้น(CCPIT Shenzhen) ร่วมกับนายหวัง ลี่ผิง อัครราชทูต(ที่ปรึกษา) ฝ่ายการพาณิชย์ของจีน ว่า ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันการทำ FTA ทั้งหมด 14 ฉบับ กับ 18 ประเทศ
และ mini FTA 6 ฉบับ ประกอบด้วย โคฟุ ปูซาน คยองกี เตลังกานา และของจีน 2 ฉบับ คือ ไห่หนานและกานซู่ และล่าสุดการร่วมลงนามกับเซินเจิ้นเป็นฉบับที่ 7 นอกจากนี้ยังเตรียมที่จะลงนามร่วมกับยูนนาน รวมทั้งที่กำลังจะประสบความสำเร็จคืออีก 5 รัฐของอินเดีย รวมกับสหราชอาณาจักรและปากีสถาน
ทั้งนี้ การจัดทำ mini FTA เป็นการต่อยอดจากการทำ FTA ในภาพใหญ่ เพื่อเจาะลึก การค้าการลงทุนร่วมกัน แบบรายมณฑล รายรัฐ เพราะบางรัฐบางประเทศใหญ่กว่าประเทศไทย และ บางมณฑลของจีนจีดีพีมากกว่าประเทศไทย อย่างเช่นมณฑลเซินเจิ้น ที่ลงนามร่วมกันนั้นเพียงมณฑลเดียวมีจีดีพีเกือบเท่าไทย ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่า การค้าการลงทุน ที่เป็นรูปธรรมที่สุดรูปแบบหนึ่ง
โดยถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งไทยและเซินเจิ้น ซึ่งเซินเจิ้นเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง เป็นเมืองยุทธศาสตร์เชื่อมมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกงและมาเก๊า เป็นศูนย์รวมเศรษฐกิจด้านตะวันออกเฉียงใต้ของจีน (Greater Bay Area) เป็นที่รวมของธุรกิจใหม่ ที่รวมของนวัตกรรม เทคโนโลยีและเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของจีน จะมีส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้มหาศาลในอนาคต
ทั้งนี้ปี 2565 มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเซินเจิ้น มีมูลค่า 868,000 ล้านบาท ตั้งเป้าร่วมกันหลังมี mini FTA ภายใน 2 ปีที่ (2566-2567) จะทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5% หรือเพิ่มขึ้นอีก 43,000 ล้านบาท ในปี 2566 และเพิ่มอีก 130,000 ล้านบาท ในปี 2567