การประกาศการยุบสภา และ นำไปสู่ไทม์ไลน์การเลือกตั้งที่ชัดเจน สิ่งที่เห็นได้ชัด นอกจากบรรกาศการแข่งขันทางการเมืองที่ดุเดือดมากขึ้นแล้ว บรรยากาศทางเศรษฐกิจของไทยก็ดูสดใสด้วยเช่นกัน เพราะปฎิเสธไม่ได้เลยว่า ความมั่นคงทางการเมืองนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคเศรษฐกิจด้วย เห็นได้จากการประเมินของภาคเอกชนและนักวิชาการที่คาดว่าในช่วงการเลือกตั้งนี้จะมีเงินสะพัดคึกคัก
เลือกตั้ง 2566 เงินสะพัดหลักแสนล้าน!
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2ของปีนี้ ไทยยังได้รับอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของจีน ประกอบกับการจับจ่ายใช้สอยผ่านกิจกรรมของพรรคต่างๆในศึกเลือกตั้ง
ซึ่งจะทำให้บางธุรกิจฟื้นตัว เช่น ธุรกิจทำป้ายโฆษณาหาเสียง เม็ดเงินเหล่านี้ คาดว่าจะมีเงินมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้เมื่อใชจ่าย 1รอบ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ก็จะเกิดเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น 1เท่า หรือ ประมาณ 1 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย
ภาพการเมืองที่ชัดเจน รวมถึงเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้น จากการมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเร็วกว่าที่คาดไว้ และบรรยากาศเศรษฐกิจโลก หลังจากแรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯเริ่มลดลง หากสถานการณ์เงินเฟ้อที่คุมอยู่และราคาน้ำมันไม่แพงเกินไปอยู่ที่ 75-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะช่วยผ่อนคลายบรรยากาศเศรษฐกิจโลกไม่ให้ทรุดตัวรุนแรง ทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ 1-2% และช่วยหนุนให้เศรษฐกิจไทย โตได้ใกล้เคียง 4%
เช่นเดียวกับ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า การประกาศยุบสภาต้นเดือน มี.ค. และกำหนดวันเลือกตั้ง 7 พ.ค. นี้ นั้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติ มีความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งคาดว่าการเลือกตั้งทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 8-9 หมื่นล้านบาท
โดยในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลก็เชื่อว่าไม่กระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวเพราะแผนงานต่างๆ ที่รัฐบาลได้ดำเนินการไว้ก็กำลังเดินหน้าได้ดี โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจนหลังจากจีนเปิดประเทศ ซึ่งหลังเลือกตั้งแล้ว ต้องการให้จัดตั้งรัฐบาลเร็วที่สุด เพื่อจะได้พิจารณางบประมาณให้ทันเวลา และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ห่วงช่วง “สุญญากาศ” อาจทำเศรษฐกิจชะงัก
แม้การประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ในภาพรวมจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ แต่สิ่งหนึ่งที่เอกชนยังคงมีความกังวล คือ ภาวะ “สุญญากาศ” ก่อนการเลือกตั้ง ซึ่ง นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พูดถึงในประเด็นนี้ว่า การยุบสภา ย่อมทำให้เกิดสุญญากาศทางด้านนโยบายทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเพื่อรอรัฐบาลใหม่ แต่เชื่อว่าคงไม่ถึงกับไม่ดำเนินการอะไรเลย ซึ่งหวังว่ารัฐบาลรักษาการณ์จะสามารถเดินงานต่อได้ เพื่อไม่ให้โครงการที่ดำเนินการอยู่ หรือ อนุมัติแล้วสะดุดลงโดยไม่มีเป้าหมาย แต่เชื่อว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อรอรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
อย่างไรก็ตาม การประกาศไทม์ไลน์การเลือกตั้งที่ชัดเจนเป็นเพียงด่านแรกของการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเท่านั้น เพราะสิ่งที่นักลงทุนจับตามองมากที่สุด คือ รัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง และ การประกาศนโยบายที่จะดำเนินการหลังจากนั้น ซึ่งภาคเอกชนต่างคาดหวังว่ารัฐบาล ใหม่ จะเป็นรัฐบาลที่รับฟังเสียงของประชาชน และ เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ ตั้งแต่เรื่องปากท้องของคนในประเทศ ไปจนถึงการส่งออก ที่สำคัญคือต้องเป็นรัฐบาลที่ไม่มีการคอรร์รัปชัน ทุจริต สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย