นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้สรุปผลการดำเนินงานของงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มใหม่อย่างยั่งยืนให้ที่ครม.รับทราบ
โดยการจัดงานมีทั้งหมด 2 รูปแบบ ได้แก่ ออนไลน์ และสัญจร ในส่วนของออนไลน์มีผู้ได้ลงทะเบียนเพื่อขอแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 188,739 ราย คิดเป็นยอดสะสม 413,780 ราย
ส่วนการจัดรูปแบบสัญจรไปตามภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งสิ้น 5 ครั้ง เน้นการแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิม เพื่อช่วยผ่อนปรนภาระหนี้ของประชาชนและผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง เป็นการสร้างรายได้ผ่านอาชีพเสริม รวมถึงสามารถขอรับสินเชื่อ มีผู้ขอรับบริการ 33,859 รายการ จำนวนเงินที่มีการลงทะเบียน 24,000 ล้านบาท
สำหรับในระยะต่อไป กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีแนวทางการดำเนินการเพื่อที่จะช่วยเหลือประชาชนอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้มีการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนให้เป็นรูปธรรมหลัก ๆ คือ
- มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ โดยจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายชำระหนี้ของลูกหนี้ ที่มากกว่าการขยายระยะการชำระหนี้เพียงอย่างเดียว โดยสอดคล้องกับความสมารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้อย่างแท้จริง และคำนึงถึงภาระหนี้ของลูกหนี้ตลอดสัญญาด้วย
- ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการจัดช่องทางเสริมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนแก้หนี้ หมอหนี้ คลินิกแก้หนี้
- ธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีการเผยแพร่เอกสารต่างๆ เพื่อสื่อสารแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน รวมทั้งช่วยให้ทุกภาคส่วนได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างมีทิศทางในแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ที่มีอยู่เดิม และการปล่อยหนี้ใหม่ให้มีคุณภาพในลักษณะการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงการวางรากฐานที่จำเป็นอื่นๆ เช่น การพัฒนาฐานข้อมูลเครดิตให้มีข้อมูลหลากหลายสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงของลูกหนี้ และเป็นการปลูกฝังให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน
"โครงการนี้ กระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบันการเงินของรัฐ สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานต่างๆ จัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขและปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เและเป็นการสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อสร้างรายได้ รวมทั้งเป็นแนวทางในการสร้างรายได้เพิ่มเติม และสร้างความรู้ทางการเงินให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ"