ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นปัญหาสำคัญ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ และ ส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยของประชาชน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญมาจากควันดำของท่อไอเสียรถยนต์ การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำ กรองอากาศอุดตัน ทำให้อากาศเข้าไม่เพียงพอ
ปรับแต่งปั๊มหัวฉีด ไม่เหมาะสม หัวฉีดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด ทำให้การฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เป็นฝอยละเอียด การออกแบบห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการบรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้รถยนต์แต่ละคันอาจมีควันดำออกมามาก
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และ โฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม แนะนำว่า เจ้าของรถต้องหมั่นตรวจเช็ก และ ซ่อมเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ โดยวิธีแก้ไขรถที่ปล่อยควันดำเบื้องต้น ดังนี้
1.ให้ทำความสะอาด หรือเปลี่ยนกรองอากาศใหม่
2.เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามระยะเวลา
3.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา
4.ปรับตั้งปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงให้ถูกต้อง
5.ตรวจเช็กและปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นละออง และมีแรงดัน
จึงขอเตือน หากตรวจวัดควันดำ ด้วยระบบวัดความทึบแสง แล้วมีค่าควันดำเกิน 30% หรือ ตรวจวัดควันดำด้วยระบบกระดาษกรอง แล้วมีค่าควันดำเกิน 40% จะถูกเปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จนกว่าเจ้าของรถจะนำรถไปแก้ไขสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดำเกินกำหนด และนำมาตรวจสภาพอีกครั้งจนผ่านการตรวจวัดจึงจะนำไปใช้งานได้
กรณีการตรวจวัดควันดำ ด้วยเครื่องวัดควันดำ ระบบวัดความทึบแสง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดำสูงสุดไม่เกิน 30%จากเดิม 45% และ หากตรวจวัดควันดำด้วยเครื่องวัดควันดำระบบกระดาษกรองขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดำสูงสุดไม่เกิน 40% จากเดิม 50%
ซึ่งเกณฑ์การตรวจควันดำใหม่ มีผลบังคับใช้ กับการตรวจวัดควันดำรถ ที่มาดำเนินการตรวจสภาพรถก่อนจดทะเบียน หรือ ตรวจสภาพรถก่อนชำระภาษีประจำปี ที่สำนักงานขนส่งและสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ทุกแห่งแล้ว
โดยผลการตรวจสอบวัดควันดำทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 31 มกราคม 2566 สำนักงานขนส่งแต่ละจังหวัดได้จัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจควันดำรถบรรทุกและรถโดยสาร จำนวน 84,076 คัน ซึ่งมีรถบรรทุกและรถโดยสารที่มีค่าควันดำที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดและถูกสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จำนวน 611 คัน