svasdssvasds
เนชั่นทีวี

คอลัมนิสต์

จี้รัฐทบทวนราคาเพดานน้ำมัน หวั่นกองทุนน้ำมันฯติดลบทะลุ 1.5 แสนล้านแน่

21 สิงหาคม 2565
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"อนุสรณ์ ธรรมใจ" คาดการณ์หากไม่ยกเลิกนโยบายการอุดหนุนราคากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงน่าจะติดลบทะลุ 1.5 แสนล้านบาทภายในเดือนตุลาคม การกู้เงิน 1.8 แสนล้านบาทจึงอาจไม่เพียงพอ หากไม่ทบทวนราคาเพดาน และ ยุทธศาสตร์การปฏิรูปกิจการพลังงาน

 

"รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ"  ประธานกรรมการบริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด   และ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง  กล่าวถึง การออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังค้ำประกันการชำระหนี้ของสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการกู้ยืมเงิน 1.8 แสนล้านบาท ว่า มีความจำเป็นในการเสริมสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันหากยังต้องใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาพลังงานและบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาพลังงานแพง  

 

หากไม่มีการค้ำประกันเงินกู้ของกองทุนก็จะไม่มีสถาบันการเงินแห่งไหนสามารถปล่อยกู้ให้กับกองทุนได้เนื่องจากกองทุนประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างรุนแรง มีฐานะติดลบมากกว่า 1.17 แสนล้านบาท (ณ. 7 ส.ค. 65) มีหนี้สินอันเกิดจากการอุดหนุนราคาส่วนต่างในส่วนของน้ำมันประมาณ 9 หมื่นล้านบาท

 

ส่วนของ LPG ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท โดยล่าสุด กองทุนน้ำมันมีทรัพย์สินรวมอยู่ที่ 15,275 ล้านบาท การที่กองทุนน้ำมันอยู่ในฐานะติดลบมากกว่าแสนล้านบาทเช่นนี้ย่อมไม่มีสภาพคล่องเพียงพอในการสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันภายในประเทศและรับมือความผันผวนของราคาพลังงานโลกได้

 
อย่างไรก็ตาม การค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังและการก่อหนี้เพิ่มของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหากใช้เต็มเพดาน จะทำให้ หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ฐานะทางการคลังในอนาคตมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาล กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การออกมาตรการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่เข้มข้นกว่านี้  รวมทั้งต้องทบทวนนโยบายอุดหนุนราคาใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

 

การที่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนชดเชยส่วนต่างของราคาตลาดกับราคาเพดานทำให้เกิดภาระหนี้สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ คาดการณ์หากไม่ยกเลิกนโยบายการอุดหนุนราคากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงน่าจะติดลบทะลุ 1.5 แสนล้านบาทภายในเดือนตุลาคม การกู้เงิน 1.8 แสนล้านบาท จึงอาจไม่เพียงพอต่อสถานการณ์การปรับตัวสูงขึ้นของราคาพลังงานรอบใหม่หากไม่ทบทวนราคาเพดานหรือราคาอุดหนุนเลย

 

ขณะนี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลงมาเล็กน้อย กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาดีเซลประมาณลิตรละ 11 บาท จากก่อนหน้านี้อุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 12-13 บาท หรือคิดเป็นเงินวันละ 700-800 ล้านบาท หรือเดือนละมากกว่า 20,000 ล้านบาท

 

ส่วนการอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) หลังปรับขึ้นราคา กก.ละ 1 บาททุกเดือน ทำให้การอุดหนุนก๊าซลดลงเหลือวันละ 47-50 ล้านบาท หรือเดือนละมากกว่า 1,400 ล้านบาท การทยอยผ่อนคลายการอุดหนุนลงบ้างเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงต่อปัญหาวิกฤติฐานะการคลังและผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวจากการใช้งบประมาณมากเกินไปในการอุดหนุนราคาพลังงาน

 

ตราบใดที่รัฐบาลยังมีนโยบายอุดหนุนราคาพลังงานอยู่โดยไม่ทบทบวน รัฐบาลจะต้องหา "เงินกู้" มาช่วยสนับสนุนกองทุน เงินกู้เหล่านี้ ก็คือ หนี้สาธารณะที่ต้องจ่ายในอนาคต  ส่วนการนำ “กำไร” ส่วนเกินปกติจากค่าการกลั่นน้ำมันมาเสริมสภาพคล่องกองทุนนั้น ต้องออกเป็นกฎหมายและอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานในระยะยาวได้  รวมทั้ง ไม่เป็นไปตามหลักการค้าเสรี 


"รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ" ประธานกรรมการบริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด  กล่าวต่อว่า  ส่วน ปัญหาสภาพคล่องและการแบกหนี้ของ กฟผ นั้นเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลมีนโยบายให้ กฟผ แบกรับค่าเอฟที (ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ) แทนประชาชนมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งต้องแบกภาระหนี้มากกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว และอยู่ในภาวะใกล้ขาดสภาพคล่อง

 

รัฐบาลต้องคิดใหม่เรื่องนโยบายพลังงานไฟฟ้าและนโยบายรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่นเดียวกัน ขณะนี้  การใช้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าแบบ Enhance single buyer model โดย กฟผ เป็นผู้ซื้อรายเดียวจากเอกชนเพียงไม่กี่รายจากการได้รับสัมปทานในการผลิตไฟฟ้า จะทำให้ประสิทธิภาพในแง่อัตราการใช้ประโยชน์ในระบบการผลิตไฟฟ้าแย่ลงและสวัสดิการสังคมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

แต่การเปิดเสรีกิจการไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์จะทำให้สวัสดิการสังคมโดยรวมเพิ่มขึ้นมากกว่า ต้นทุนและราคาไฟฟ้าจะลดลงอย่างมีนัยยสำคัญ ธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าควรให้เอกชนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ไม่ใช่มีเพียงผู้ผลิตไม่กี่ราย สายส่งขนาดเล็กควรแบ่งให้เอกชนดำเนินการในส่วนที่โครงข่ายมีความสมบูรณ์แล้ว 


"รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า ทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น คือ การเปิดเสรีและเพิ่มการแข่งขันในกิจการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น การแปรรูปและปฏิรูปรัฐวิสาหกิจต้องทำพร้อมกับการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการผ่องถ่ายผลประโยชน์และอำนาจจากองค์กรของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจมาที่กลุ่มทุนเอกชนผู้รับสัมปทาน โดยสวัสดิการสังคมโดยรวมของสังคมจะแย่ลง นอกจากนี้ ควรเร่งผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น ปรับโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าให้พึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ส่งเสริมให้โรงงานอุตสาหกรรมมีโรงงานไฟฟ้าพลังงานทางเลือกมาก 


"รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ" อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเดินหน้าปฏิรูปกิจการพลังงานนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ความผันผวนของราคาพลังงานโลกและพลวัตเศรษฐกิจ รวมทั้ง การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจะส่งผลให้ เกิดปัญหาและข้อจำกัดด้านความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งจำเป็นต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางปฏิรูปกิจการพลังงานกันใหม่

 

เนื่องจากแผนยุทธศาสตร์ที่จัดทำนั้นเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดสงครามระบอบปูตินรัสเซียกับยูเครน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของธุรกิจอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลกหลังสงครามรัสเซียยูเครนยืดเยื้อ ประเทศไทยจึงต้องมีแนวทางการบริหารจัดการกิจการพลังงานของประเทศใหม่ ปรับปรุงการทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศใหม่ พัฒนาเทคโนโลยีและการสนับสนุนพลังงานทดแทน การอนุรักษ์พลังงาน ปฏิรูปโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานระบบไฟฟ้าของประเทศอย่างแท้จริง มิฉะนั้นจะเกิดการผ่องถ่ายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจำนวนมากจากผู้ใช้ไฟฟ้าไปยังผู้รับจ้างผลิตไฟฟ้า โดยยุทธศาสตร์ใหม่ต้องครอบคลุม

 

ประการแรก ต้องทำให้เกิดความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างแท้จริง ลดการพึ่งพาภายนอกให้น้อยลง โดยเฉพาะลดการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา

 

ประการที่สอง ต้องสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นในกิจการพลังงาน เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้บริโภค

 

ประการที่สาม ต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านพลังงานของประเทศ

 

ประการที่สี่ การพัฒนาระบบข้อมูลและสารสนเทศทางด้านพลังงาน ประการที่ห้า พัฒนากิจการพลังงานให้สนับสนุนต่อเศรษฐกิจหมุนเวียนและธุรกิจอุตสาหกรรมฐานเศรษฐกิจใหม่ New S-Curve  

 

"รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ" ประธานกรรมการบริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด  และ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า การพัฒนา เทคโนโลยีด้านดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และพลังงาน อาทิ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบการกักเก็บพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง และยานยนต์ไฟฟ้านำมาสู่พลวัตใหม่ของตลาด รูปแบบธุรกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย กระแสการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานดิจิทัล ซึ่งต้องทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรมากขึ้น

 

การพัฒนาระบบ Smart Grid หรือ Digital Grid เพื่อนำเทคโนโลยีมาช่วยพยากรณ์ ควบคุมสั่งการการผลิต และการใช้ไฟแบบ Real Time อย่างแม่นยำและเพื่อรวบรวมข้อมูลไปวิเคราะห์ ขณะที่ เทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานมาใช้กับระบบโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นเพียงพอในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีความผันผวน และ พร้อมรับมือแนวโน้มสถานะผู้ใช้เปลี่ยนเป็นผู้ผลิต (Prosumer) ของกิจการไฟฟ้าได้  

 

คาดว่าในระยะ 15-20 ปีข้างหน้านี้ พลังงานจาก ปิโตรเลียมยังคงเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกอยู่แต่หลังจากนี้น่าจะลดสัดส่วนลงในอัตราเร่ง ขณะที่การขยายตัวของก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศต่าง ๆ ให้ ความสำคัญกับการลดการปลดปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) และลดผลกระทบ

logoline