
สำหรับคนทำงานจำนวนมากในกรุงเทพฯ “การกลับบ้านต่างจังหวัดช่วงปีใหม่” คือภาพจำของการได้พักใจ กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา และนอนยาว ๆ หลังลุยงานมาทั้งปี
แต่ในความเป็นจริง เทศกาลรวมญาติแบบไทย ๆ ก็มักมาพร้อมคำถามแทงใจ บทสนทนาที่เปรียบเทียบไม่รู้จบ และแรงกดดันทางอารมณ์ที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า “กลับบ้านครั้งหนึ่ง เหนื่อยยิ่งกว่าทำงาน”
นักจิตวิทยาด้านความสัมพันธ์อธิบายว่า ช่วงเทศกาลคือเวลาที่ “อารมณ์ถูกขยาย” ทั้งจากความคาดหวัง ความเหนื่อยสะสม การอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดิม ๆ และบทบาทในครอบครัวที่ไม่เคยเปลี่ยน
เพราะต่อให้คุณเป็นผู้จัดการในออฟฟิศ แต่พอกลับบ้าน คุณก็จะกลับไปเป็น “เด็กคนนั้น” ในสายตาพ่อแม่และญาติทันที
หลายคนที่ทำงานใน กทม. ใช้ชีวิตอิสระ ตัดสินใจเองได้ทุกเรื่อง แต่พอกลับบ้านต่างจังหวัด บทบาทเดิมก็กลับมาโดยอัตโนมัติ พร้อมชุดคำถามสุดคลาสสิก: ทำไมยังไม่แต่งงาน, เงินเดือนเท่าไหร่แล้ว, เมื่อไหร่จะกลับมาทำงานใกล้บ้าน
ทางจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “การย้อนกลับสู่บทบาทเดิม” (Regression) ครอบครัวไม่ได้ตั้งใจที่จะใจร้ายกับคุณ แต่สมองของทุกคนคุ้นชินกับภาพจำเก่า ๆ วิธีรับมือที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การโต้เถียงตรง ๆ แต่คือการ “ตั้งขอบเขตอย่างสุภาพ” เช่น ตอบสั้น ชัด และเปลี่ยนเรื่อง โดยไม่ต้องอธิบายชีวิตตัวเองทั้งหมด
ไม่มีอะไรสะท้อนสังคมไทยได้ชัดเท่าฉากการคุยแบบ “ข่มผ่านการอวด” ที่มักทำให้คนฟังรู้สึกด้อยค่า เช่น “ลูกป้าได้บรรจุแล้วนะ", "เงินเดือนลูกป้าตอนนี้แสนกว่า” หรือ “หลานป้าเรียนจบเมืองนอก กลับมาก็ได้งานเลย”
นักจิตวิทยาแนะนำว่า อย่ารีบเงียบหรือฝืนยิ้มอย่างเดียว แต่ให้ “ดึงการสนทนาออกจากตัวเรา” เช่น
“เก่งจริง ๆ ค่ะ เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ โอกาสเยอะ ยุคนี้เส้นทางชีวิตหลากหลายมากนะคะ”
คำตอบลักษณะนี้ไม่ต้องแข่ง ไม่ต้องเถียง แต่ทำให้บทสนทนาจบลงอย่างสุภาพ และไม่เปิดช่องให้เปรียบเทียบต่อ
ระหว่างที่กำลังล้อมวงกินหมูกระทะกันอย่างสนุกสนาน จู่ ๆ อาโกก็พูดขึ้นมาเรื่องนโยบายรัฐบาล ลุงเขยที่อยู่คนละขั้วก็สวนกลับทันควัน บรรยากาศเริ่มเงียบกริบ พ่อกับแม่เริ่มขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด ส่วนคุณที่นั่งอยู่ตรงกลางเริ่มรู้สึกว่า "นี่มันสนามรบชัด ๆ"
สิ่งที่ทำให้เรื่องบานปลายไม่ใช่เนื้อหา แต่คือ “อารมณ์สะสม” จากการกิน ดื่ม และอยู่ร่วมกันนานเกินไป กลยุทธ์สำคัญคือ “หยุดก่อนเดือด”
ในบ้านไทย มักมี “ผู้หวังดีมือโปร” ที่รู้ทุกอย่าง ตั้งแต่ทอดหมูยังไงให้กรอบ ไปจนถึงชีวิตของเราควรเดินทางไหน หากการขัดตรง ๆ ทำให้บรรยากาศตึง การ “ฆ่าด้วยความใจดี” อาจได้ผลกว่า
“ขอบคุณมากเลยค่ะ เดี๋ยวขอทำต่อเองนะ”
หรือปล่อยให้เขาทำ แล้วเราไปพักบ้าง บางครั้งการยอมถอยไม่ใช่แพ้ แต่คือการเลือกบรรยากาศที่สงบสุข
ขณะที่พี่น้องคนอื่น ๆ กำลังคุยกันเรื่องทำไร่ทำนา หรือเรื่องราวในหมู่บ้านที่คุณไม่ได้สัมผัสมานานหลายปี คุณกลับรู้สึกเหมือนพูดคนละภาษา ไลฟ์สไตล์ มุมมองชีวิต และภาษาในการสื่อสารต่างกันจนคุณกลายเป็น "แกะดำ" ที่ทำได้แค่เขี่ยข้าวในจานไปมา
นักจิตวิทยาแนะนำให้ “เปลี่ยนจากการตั้งการ์ดปกป้องตัวเอง มาเป็นการตั้งคำถามเชิงประวัติศาสตร์” เพื่อสร้างจุดเชื่อมโยงใหม่ เช่น
การให้คนอื่นเล่าเรื่องตัวเอง ช่วยลดแรงปะทะ และทำให้เราเชื่อมโยงกันในระดับมนุษย์มากขึ้น
เมื่อคุณกลับไปถึงบ้าน แล้วพบว่าญาติพี่น้องมานอนรวมกันในห้องโถง เสียงทีวีเปิดทิ้งไว้ทั้งวัน เสียงเด็กวิ่งเล่น และไม่มีมุมไหนในบ้านที่คุณจะนั่งเงียบ ๆ เพื่อพักสมองชาร์จพลังได้เลย จนคุณเริ่มรู้สึก "Social Battery Low"
วิธีแก้: อย่าฝืนอยู่จนระเบิด แต่ให้ใช้วิธี “อาสาทำภารกิจนอกบ้าน” เช่น อาสาออกไปซื้อน้ำแข็ง ซื้อของที่ร้านค้า หรือไปทำธุระให้ผู้ใหญ่ แล้วใช้เวลาช่วงนั้น ชาร์จพลังเงียบ ๆ ในรถหรือร้านกาแฟสัก 15-30 นาที เพื่อให้มีพลังกลับมาสู้ต่อในบ้าน
ค่านิยมไทยมักพ่วงการกลับบ้านเข้ากับการแสดงความสำเร็จผ่านทรัพย์สิน จนกลายเป็นความเครียดของคนทำงานที่รายได้ยังไม่นิ่ง
หัวใจสำคัญ: ต้องเตือนตัวเองว่า “ตัวเราคือของขวัญที่ดีที่สุด” ความรักไม่ได้วัดกันที่ยอดเงินในซอง หากงบประมาณจำกัด ให้เน้นการซื้อของที่ได้ใช้จริง หรือการเข้าไปช่วยงานบ้านเพื่อลดภาระทางใจ
การกลับบ้านปีใหม่ในบริบทสังคมไทย หลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องจำไว้ว่าไม่จำเป็นต้องทำให้ทุกคนพอใจพร้อมกัน สิ่งสำคัญคือการรู้ตัวเองว่า
สุขภาพใจที่ดีในช่วงเทศกาล เริ่มจากการตั้งขอบเขตอย่างอ่อนโยน และยอมรับว่า “บางความอึดอัด ไม่ได้แปลว่าเราผิด” กลับบ้านได้ แต่ใจต้องไม่พัง นั่นอาจเป็นของขวัญปีใหม่ที่สำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานยุคนี้