แต่เมื่อใกล้ระยะเวลาที่จะครบ 8 ปีตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กลับนำไปสู่การตีความในทางกฎหมายด้วยคำอธิบายที่หลากหลาย ซึ่งคำตอบย่อมต้องออกมาใน 2 ลักษณะ คือ
อยู่ได้ไปอีก ด้วยการอาศัยความกำกวมของปัญหาเวลา และตีความให้เอื้อกับการอยู่ต่อไปในอำนาจ
ครบวาระแล้ว เพราะการเข้าดำรงตำแหน่งตามคำประกาศข้างต้นมีความชัดเจนในตัวเอง
อดีต 2535
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวเป็นการตีความทางนิติศาสตร์ แต่หากลองหันมามองในทางรัฐศาสตร์บ้างว่า ประเด็นนี้จะนำไปสู่ปัญหาอะไร
หากเราลองย้อนอดีตสักนิด หันกลับไปสู่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ซึ่งอยากจะขอเรียกว่า "พฤษภาประชาธิปไตย" นั้น ชนวนที่เป็นจุดตั้งต้นของวิกฤตมาจากปัญหาพื้นฐานคือ ความไม่พอใจรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจมาจากคณะรัฐประหาร
ปัญหานี้ยังเป็นผลสืบเนื่องจากการที่สังคมไม่ตอบรับกับการยึดอำนาจของผู้นำทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 แล้ว แต่สังคมอาจจะไม่แข็งแรงพอที่ตอบโต้การยึดอำนาจที่เกิดขึ้นได้โดยตรง ความไม่พอใจในทางจิตวิทยาการเมืองดังกล่าวจึงสะสมกลายเป็น “คับข้องใจทางการเมือง" ที่ทวีขึ้น
ผลพวงของการสะสมของ "ความคับข้องใจทางการเมือง" หรือในทางทฤษฎีจิตวิทยาการเมืองเรียกสภาวะเช่นนี้ว่า "political frustrations" ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่ง การสะสมเช่นนี้จะนำไปสู่ "จุดระเบิด" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จุดระเบิดในปี 2535 คือ คำกล่าวของ พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้นำการรัฐประหารที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เขายืนยันมาตลอดว่าจะไม่รับตำแหน่งดังกล่าว
แต่เมื่อต้องรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาอธิบายว่า "มีความจำเป็นต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ…"
ผู้นำทหารอาจจะเชื่อมั่นในอำนาจปืนว่าจะใช้คุมทุกอย่างในสังคมไทยได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง กลับเป็นการขยายตัวของการชุมนุมต่อต้านนายกรัฐมนตรีอย่างกว้างขวาง
ด้วยความเชื่อมั่นว่า กองทัพคุมได้หมด พลเอกสุจินดา ถึงกับกล้าท้าทายการต่อต้านที่เกิดขึ้นบนถนนว่า "ไม่สามารถกดดันได้ เดี๋ยวก็หมดแรงกันไปเอง…" แล้วในท้ายที่สุด
การต่อต้านนายกรัฐมนตรีกลายเป็นวิกฤตการเมืองใหญ่อีกครั้งที่เกิดการใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม ในวันที่ 17-18 พฤษภาคม 2535 แต่การใช้กำลังกลับจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของกองทัพ ไม่ต่างกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
วิกฤตการเมืองชุดนี้จบลงด้วยการลาออกของนายกรัฐมนตรีในอีกไม่กี่วันถัดมา อันเป็นการสิ้นสุด "ยุครัฐบาลสืบทอดอำนาจ" หรือ "รัฐบาลพันทาง" หรือเป็นการปิด "ยุคแห่งความรุ่งโรจน์ของรุ่น 5"
ปัจจุบัน 2565
ถ้าคำตอบในทางกฎหมายยืนยันว่า พลเอกประยุทธ์ สามารถที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้ด้วย "อภินิหาร" ของการตีความแล้ว น่าสนใจอย่างมากว่า คำตอบในแบบนิติศาสตร์จะกลายเป็น "จุดระเบิด" ของสถานการณ์แห่งความคับข้องใจทางการเมืองที่สะสมมาตั้งแต่รัฐประหารหรือไม่
เราอาจจะตอบอนาคตไม่ได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราเห็นการประกาศการชุมนุมต่อต้านนายกรัฐมนตรีกำลังก่อตัวขึ้นไม่หยุด ฉะนั้นเราอาจมองในทางรัฐศาสตร์ได้ว่า คำตอบในวันที่ 23 สิงหาคม เพื่ออนุญาตให้พลเอกประยุทธ์อยู่ต่อ จึงน่าจะเป็น "จุดระเบิด" สำคัญ ส่วนจะนำไปสู่ "พฤษภาประชาธิปไตย 2535" หรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่ต้องจับตาดูอย่างยิ่ง
ฉะนั้น วาระครบรอบ 30 ปีเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 จึงวนกลับท้าทายว่า การตีความให้อยู่ต่อจะเป็นเสมือนกับการ "การเสียสัตย์เพื่อชาติ" หรือไม่
เพราะคำประกาศตั้งนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 24 สิงหาคม 2557 มีความชัดเจนในตัวเอง จึงทำให้นักรัฐศาสตร์มองไม่เห็นความจำเป็นในการตีความแต่อย่างใด
การอยู่ต่อได้จึงอาจถูกตีความว่า เป็นการ "เสียสัตย์" ของคำประกาศตั้งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!