
30 กันยายน 2568 สัญญาณดวงดาว พจมาน ผู้นำจิตวิญญาณ แพทองธาร จัดทัพเพื่อไทย แบรนด์ทักษิณยังขลัง แปรความสงสารเป็นคะแนน
แพ้แต่เหมือนชนะที่ศรีสะเกษ สร้างความมั่นใจให้ตระกูลชินวัตร ค่ายสีแดงยังไปต่อโดยไม่เป็นรองค่ายสีส้ม-ค่ายสีน้ำเงิน
สองสัปดาห์มานี้ ครอบครัว “ชินวัตร” มีกิจกรรมเข้า-ออกเรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อเยี่ยม ทักษิณ ชินวัตร โดยสลับสับเปลี่ยนกัน ทั้ง แพทองธาร ชินวัตร และ พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์
สำหรับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เข้าเยี่ยมสามี-ทักษิณเพียงครั้งเดียว แต่ภาพคุณหญิงอ้อเดินเข้าประตูเรือนจำวันนั้น ทำเอาเอฟซีเพื่อไทยรู้สึกหดหู่ ยิ่งรักยิ่งสงสารทักษิณ
สอดรับกับ สุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ผลการสำรวจความนิยมของพรรคการเมือง ครั้งที่ 3 เฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ได้อันดับ 3 ร้อยละ 13.96 ซึ่งเป็นตัวเลขที่รู้สึกประหลาดใจ เพราะเคยคาดการณ์ว่า เรตติ้งค่ายสีแดงน่าจะลดต่ำประมาณร้อยละ 7-8
สุวิชา มองว่า คะแนนนิยมของเพื่อไทยที่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ 2 ร้อยละ 11 เพราะเอฟซีสีแดงสงสารทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องไปใช้ชีวิตในเรือนจำ
โจทย์ยากของแกนนำเพื่อไทยคือ จะต้องแปร “คะแนนสงสารนายใหญ่” ให้เป็น “คะแนนนิยมพรรค” แบบไทยรักไทยหรือเพื่อไทยยุคเสื้อแดง
2 ปีที่แล้ว “ทักษิณ” กลับไทยพร้อมดีล “รัฐพันลึก” ที่มอบให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำสยบพรรคสีส้ม ทำให้ค่ายสีแดงสูญเสียความเป็นพรรคเชิงอุดมการณ์
พลันที่สถานการณ์เปลี่ยน “ผู้มีอำนาจตัวจริง” เปลี่ยนให้พรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ทำดีลกับพรรคสีส้ม เพื่อไทยต้องถอยมาเป็นฝ่ายแค้น
หลังจาก “นายใหญ่” ผู้นำจิตวิญญาณถูกส่งไปขังไว้ในคุก คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ จึงต้องแสดงตัวให้ สส.พรรคเพื่อไทย ได้มีความมั่นใจว่า ตระกูลชินวัตร ยังไม่ทิ้งเรือลำนี้
ย้อนไปเมื่อปี 2563 คุณหญิงพจมาน ได้เข้ามาปฏิรูปพรรคเพื่อไทยพร้อมกับกลุ่มแคร์คือ “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช, “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย, “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
ในวันที่ “ถดถอย” และการที่จะกลับคืนสู่ภาพเดิม หนีไม่พ้นกลุ่มแคร์ จะต้องแบกรับภารกิจนำพาเพื่อไทยไปสู่ “พรรคสีแดง” แห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
“ภูมิธรรม เวชยชัย” ผู้มากประสบการณ์ทางการเมือง คงจะต้องมาเป็นแม่ทัพใหญ่ คอยวางแผนวางกลยุทธ์รีแบรนด์พรรค และล้างภาพพรรคอนุรักษนิยมใหม่
ส่วน “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” มิได้แค่เด่นเรื่องนักพูดจาปราศรัย หากแต่ยังมีภาพนักคิดนักประชาธิปไตย มีความจัดจ้านในเกมเลือกตั้ง และสื่อสารกับ Gen Z ได้ดี
ช่วง 4 เดือนก่อนยุบสภา แกนนำเพื่อไทยจึงมีภารกิจเร่งด่วน ใช้เวทีสภาคู่ขนานนอกสภา กอบกู้พรรคให้เป็นพรรคเชิงอุดมการณ์ก้าวหน้า และมุ่งหาคะแนน “กระแส” เหมือนในอดีต
แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม จะรับบทแม่ทัพ-ขุนคลัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกพรรค
การเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 เป็นบททดสอบแรกของแม่ทัพสุริยะ โดยส่ง สมศักดิ์ เทพสุทิน และ มนพร เจริญศรี ลงไปช่วย ภูริกา สมหมาย สู้กับทายาทบ้านใหญ่สีน้ำเงิน
แม้ผลเลือกตั้ง ภูริกา สมหมาย จะพ่ายแพ้ แต่คะแนน 31,577 คะแนนถือว่า ฐานเสียง พท.ไม่กระทบ เพราะปี 2566 อมรเทพ สมหมาย ได้ 32,884 คะแนน
ปรากฏการณ์ “ภูริกา-ศรีสะเกษ” ปลุกขวัญกำลังใจให้ สส.อีสานที่ตกอยู่ในอาการเคว้งคว้าง ไม่มั่นใจตระกูลชินวัตร ได้หวนคิดถึงบ้านหลังเดิม
แกนนำค่ายสีแดง จึงมีปฏิบัติการลับ เพื่อหาทางหยุดเลือดไม่ให้ไหลไปมากกว่านี้
1.ตรวจเช็กขุมกำลัง สส. ใครจะอยู่ ใครจะไป ต้องมีการพูดคุยกัน
2.ตั้งเป้ารักษาที่มั่นในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน และภาคอีสาน ซึ่งปัจจุบัน ยังมี สส.เหนือ-อีสาน ที่ภักดีพรรคอยู่เป็นส่วนใหญ่
3.วางแผนช่วงชิง สส.เขตในโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล