svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

"เป๊ป vs คล็อปป์" ศึกนี้ใครจะคว้าชัย

24 พฤศจิกายน 2566
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ค่ำวันเสาร์นี้คอบอลห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง เมื่อ 2 กุนซือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค "เป๊ป กวาร์ดิโอลา" และ "เยอร์เก้น คล็อปป์" จะนำทีมลงฟาดแข้งในศึกพรีเมียร์ลีก โดยมีตำแหน่งจ่าฝูงเป็นเดิมพัน

เมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มาอังกฤษเป็นครั้งแรก หลายคนตั้งคำถามว่ากุนซือชาวสแปนิชผู้นี้ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในสเปนและเยอรมนี จะทำได้ในระดับเดียวกันในพรีเมียร์ลีกที่มีการแข่งขันสูงขึ้นได้หรือไม่ และสไตล์การเล่น “ติกิ-ตาก้า” จะได้ผลแค่ไหนในเกาะอังกฤษ

ซีซั่นแรกอาจจะมีเสียงวิจารณ์เหล่านี้บ้าง หลังจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จบอันดับสามและไม่มีถ้วยรางวัล แต่มาถึงตอนนี้เสียงนั้นเงียบกริบไปแล้ว และ กวาร์ดิโอลา ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก โดยตอนนี้เขาคุมทีมที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกที่ 1.26 พันล้านยูโร

อย่างไรก็ตาม แม้จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย และแชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย เหมือนจะไร้คู่ต่อกร แต่ก็ยังมีชายคนหนึ่งที่ถือเป็นคู่ปรับของเขาโดยตรง เพราะนับตั้งแต่ กวาร์ดิโอลา ย้ายมาอังกฤษ ไม่มีผู้จัดการทีมคนใดแย่งคะแนนในลีกไปจากเขาได้มากไปกว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ และกุนซือชาวเยอรมันผู้นี้ก็เอาชนะเขาได้อีกสี่ครั้งในการแข่งขันรายการอื่นๆ รวมถึงแชมเปี้ยนส์ลีกรอบก่อนรองชนะเลิศในปี 2018 ที่ลิเวอร์พูลชนะได้แบบไปกลับทั้งสองนัด 

และสุดสัปดาห์นี้ ยอดกุนซือทั้งสองคนจะกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งที่เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยมีตำแหน่งจ่าฝูงเป็นเดิมพัน

เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป๊ป กวาร์ดิโอลา เผชิญหน้ากับ เยอร์เก้น คล็อปป์ มากกว่าผู้จัดการทีมคนอื่นๆ (28 ครั้ง) และยังแพ้เขามากกว่าโค้ชคนอื่นๆ ด้วย (12 ครั้ง) การเพรสซิ่งอย่างไม่หยุดยั้งและการเล่นฟุตบอลแบบไดเรกต์อันยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล ถือเป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงทีมของ กวาร์ดิโอลา อยู่เสมอนับตั้งแต่เขาย้ายมาอังกฤษ โดยนับตั้งแต่ เป๊ป มาถึง ลิเวอร์พูลก็เก็บแต้มได้มากกว่า 90 แต้มถึงสามครั้ง (แต่คว้าแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวในฤดูกาล 2019/20) ก่อนหน้านั้นสโมสรไม่เคยได้ถึง 90 แต้มในพรีเมียร์ลีกเลย 

หรืออาจกล่าวได้ว่า เป๊ป เป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่ของพรีเมียร์ลีก และ คล็อปป์ คือผู้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าทาย

สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว พวกเขาไม่เคยเทียบเคียงกับสถิติการครองบอลของแมนฯ ซิตี้ได้เลย โดยครองบอลเฉลี่ย 61% ในช่วง 5 ฤดูกาลหลังสุด เทียบกับฝั่ง ซิตี้ ที่ทำได้เฉลี่ย 65.9% แต่อาวุธของหงส์แดงไม่ได้อยู่ที่การครองบอล แต่อยู่ที่การโจมตีอันรวดเร็วและดุดันที่ทำให้ลูกทีมของ เป๊ป ต้องสั่นไหวในบางครั้ง ความสามารถของพวกเขาในการเปลี่ยนจากรับเป็นรุก ความสามารถเฉพาะตัวของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ ซาดิโอ มาเน่ พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องยากที่จะตอบโต้ พิสูจน์ได้จากการที่ แมนฯ ซิตี้เสียไปถึง 16 ประตูจาก 12 เกมในลีกให้กับลิเวอร์พูลนับตั้งแต่กวาร์ดิโอลาและคล็อปป์เริ่มเป็นคู่แข่งกัน

เยอร์เก้น คล็อปป์ ในซีซั่นที่ผ่านมา หงส์แดง หลุดวงโคจรการลุ้นแชมป์ไปพร้อมๆกับอายุที่มากขึ้นของกองกลางทั้งสามคน ไม่ว่าจะเป็น ฟาบินโญ่ วัย 29 ปี, จอร์แดน เฮนเดอร์สันวัย 32 ปี และเจมส์ มิลเนอร์วัย 37 ปี ทั้งสามคนต่างลงเล่นให้ลิเวอร์พูลมากกว่า 30 นัดในพรีเมียร์ลีก นอกจากนี้ก็ยังมี ติอาโก้ อัลคันตาร่า มิดฟิลด์วัย 32 ปี ซึ่งลงเล่นไป 18 นัดในซีซั่นที่แล้วอีกราย ทำให้เห็นว่า ลิเวอร์พูลยังขาดแผงมิดฟิลด์ที่มีพลังงานล้นเหลืออย่างที่เคยมี อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขามีนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพแล้ว

แผงกองกลางที่ได้รับการปรับปรุง ไม่ว่าจะเป็น โดมินิค โซโบซไล, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ วาตารุ เอ็นโด ดูเหมือนว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระของซาลาห์ได้ดีขึ้น สังเกตได้จากการที่ดาวเตะอียิปต์ผู้นี้กลับคืนสู่ฟอร์มอันทรงพลังของเขา โดยทำไป 10 ประตูในพรีเมียร์ลีกจากการลงสนาม 12 นัด มีเพียงเออร์ลิง ฮาลันด์ เท่านั้นที่ทำได้ดีกว่า

ทีมของคล็อปป์แพ้เกมลีกเพียงเกมเดียวในฤดูกาลนี้ และนั่นเป็นเกมที่ถกเถียงกันเป็นอย่างมากจากประเด็นของ VAR โดยพ่ายแพ้ต่อท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-1 ซึ่งพวกเขาจบเกมด้วยผู้เล่นเพียงเก้าคน 

หากพวกเขาจะเอาชนะแมนฯ ซิตี้ที่เอติฮัดวันเสาร์นี้ พวกเขาจะขึ้นจ่าฝูงของตาราง และจากการที่ตอนนี้ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และ ซาลาห์ กลับสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดอีกครั้ง, ดาร์วิน นูนเญซ เริ่มยิงได้ต่อเนื่อง และการปรับปรุงแผงกองกลางที่ได้ผล ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะทำไม่ได้

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสทำได้ แต่คงไม่ง่าย

เกมบุกของ แมนฯซิตี้ ถือว่าซับซ้อนที่สุดในลีก หรือแทบจะในโลกก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมที่นั่งดูอยู่ในสนาม หรือแม้แต่ทางโทรทัศน์ ก็แทบจะไม่มีใครเดาทางออกเลยว่าพวกเขาจะเล่นจังหวะต่อไปแบบไหน จังหวะหลังจากนั้นจะทำอย่างไร ประกอบกับความแม่นยำในการจ่ายบอลของผู้เล่นทุกตำแหน่ง ก็คงยากที่ใครจะแย่งบอลกลับมาได้ แม้กระทั่งทีมที่เป็นเลิศด้านเพรสซิ่งอย่าง ลิเวอร์พูล ก็ตาม

ส่วนศึกครั้งนี้ทีมใดจะเป็นฝ่ายชนะ รอลุ้นกันได้ วันเสาร์นี้ 19.30 น.

เป๊ป vs คล็อปป์

logoline