svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ท่องเที่ยว

ทูร์เคีย การเดินทางครั้งสำคัญกับทริปมรดกโลก

ทุกครั้งที่กำลังจะเดินทางไกล น่าจะทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกตื่นเต้น กังวล นอนไม่หลับ การเดินทางไกลครั้งนี้สำคัญกับผู้เขียนมาก เพราะเป็นเหมือนการหลีกหนีจากความวุ่นวาย พักเรื่องราวทุกข์ใจ เพื่อไปคิดใคร่ครวญ เปิดรับผู้คนและแรงบันดาลใจใหม่ๆ

 

ทริปของเราเป็น Press Trip ของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัดมหาชน หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อ KTC ที่จัดทริปไปต่างประเทศทุกปี เพื่อขอบคุณสื่อมวลชนที่ร่วมสนับสนุนและเป็นพันธมิตรที่ดีของ KTC โดยผู้เขียนไปเป็นตัวแทนของผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี ด้วยความทำงานหน้าจอเป็นหลัก เลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับนักข่าวสายการเงิน การตลาด และเศรษฐกิจที่ร่วมทริปด้วยเท่าไหร่ แต่โชคดีที่ครั้งนี้มีเพื่อนจากสปริงนิวส์ในเครือเนชั่นร่วมทริปไปด้วย ทำให้ตลอดทั้ง 7 วันต่อจากนี้ เราคือ buddy กัน

 

ทูร์เคีย ก็คือ ตุรกี

 

สาธารณรัฐทูร์เคีย คือจุดหมายปลายทางของเรา เนื่องจากเป็นทริปที่ทาง KTC ดูแลทุกอย่าง ผู้เขียนและเพื่อนจึงแทบไม่ต้องจัดการอะไร เรามาเก็บกระเป๋ากันวันสุดท้าย แลกเงิน “ดอลลาร์สหรัฐฯ” ไปบางส่วน (เพื่อไปแลกเงินสกุล “ลีรา” ที่ทูร์เคียเลย ) เปิดโรมมิ่ง และพกพาสปอร์ต ก็เป็นอันเดินทางได้ ..เพราะหากจะไปประเทศทูร์เคีย คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า !

 

ทูร์เคีย (หรือในชื่อเก่าที่คุ้นเคยคือตุรกี) เป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ทั้งใน 2 ทวีป หากไปอ่านหนังสือเรียน ท่องเที่ยว หรือภูมิศาสตร์ บางตำราก็บอกว่าทูร์เคียอยู่ในทวีปเอเชีย บางตำราก็อยู่ในทวีปยุโรป สุดแล้วแต่ว่าตำราไหนใช้สิ่งไหนเป็นเกณฑ์ แต่หากไปถามคนทูร์เคีย หลายคนก็จะบอกว่าตัวเองเป็นคนยุโรป

 

ส่วนที่เปลี่ยนชื่อจาก “ตุรกี” (Turkey) มาเป็น “ทูร์เคีย” (Türkiye) นั้น ก็เพิ่งจะเปลี่ยนเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.2022 ซึ่งรัฐบาลทูร์เคียได้อธิบายเรื่องนี้ว่า คำว่า Turkey ในภาษาอังกฤษนอกจากจะมีความหมายว่า ดินแดนที่ถูกครอบครองโดยชาวเติร์ก (Turks) ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อพยพจากเอเชียกลางมาตั้งถิ่นฐานที่ดินแดนอานาโตเลีย (พื้นที่ส่วนใหญ่ในประเทศตุรกีปัจจุบัน) ยังพ้องรูปกับคำว่า ไก่งวง (Turkey) แต่ในภาษาตุรกี จะเรียกชื่อประเทศของตัวเองว่า Turkiye ซึ่งใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่ประกาศเอกราชจากอิทธิพลของประเทศตะวันตกเมื่อปี ค.ศ.1923

 

ประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdogan ได้สั่งให้ใช้ชื่อ Türkiye เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม อารายธรรม และคุณค่าของชาวตุรกี (Turkish) ได้ดียิ่งขึ้น

 

พระราชวังทอปกาปี หนึ่งในมรดกโลกของทูร์เคีย

 

ทริปของเราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนห้าทุ่ม ใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมงจึงถึงสนามบินนานาชาติอิสตันบูล (Istanbul Airport) ราวตีห้าตามเวลาท้องถิ่นของประเทศทูร์เคีย และต่อไฟลท์ไปสนามบินอิซเมียร์ (Izmir) อีกทอด เพื่อเดินเที่ยวชมจุดสำคัญ มหานครเอฟีซัส (Ephesus) ซากเมืองโบราณของมหานครกรีกโรมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของจักรวรรดิโรมันรองจากกรุงโรม ซึ่ง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ2015 เพราะสถาปัตยกรรมและสิ่งปลูกสร้างหลายอย่างยังคงสภาพสมบูรณ์อย่างมาก แม้จะสร้างมานับพันปีแล้ว

 

ผู้เขียนตื่นเต้นมาก แต่กว่าจะเดินชมสุดทางก็เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร แถมแดดยังแรงสุดๆ แต่ยังดีที่ประเทศทูร์เคียอากาศแห้งๆ เย็นๆ เพราะถ้าเป็นบ้านเราคงเดินเที่ยวแบบนี้ไม่สนุกแน่

 

การเดินทางของเราในครั้งนี้ ทาง KTC ได้พา “อาจารย์ต้น-คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์” อาจารย์พิเศษด้านประวัติศาสตร์ในหลายมหาวิทยาลัยมาเป็นผู้บรรยายเรื่องราวความมหัศจรรย์ของสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และผู้คนให้กับเราตลอดทั้งทริป ซึ่งอาจารย์ต้นเป็นหนึ่งในบุคคลที่ผู้เขียนประทับใจอย่างมาก เพราะท่านเล่าเรื่องราวได้สนุก เรียบเรียงเข้าใจง่าย แถมมีดราม่านิดๆ ชวนให้ติดตาม

 

ภายใน Ephesus เราได้เห็นซากสิ่งปลูกสร้างมากมาย อาทิ โรงอาบน้ำและเหล่าขุนนาง โรงละครขนาดใหญ่ที่จุคนได้ถึง 25,000 คน และที่เด็กคงแก่เรียนอย่างผู้เขียนชอบมากที่สุดก็คือ “หอสมุดเซลซุส (The Library of Celsus)” ถือว่าเป็นห้องสมุดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอันดับ 1 คือห้องสมุดที่อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ และอันดับ 2 ที่เมืองเพอร์กามัม (Ruins of Pergamum) แต่ปัจจุบันไม่เหลือซากให้ชมแล้ว

 

กว่าจะเดินจบก็หมดวันพอดี ก่อนที่จะไปรับประทานอาหารเย็น และบินอีกไฟลท์ ไปนอนที่เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) เพราะวันต่อไปต้องขึ้นบอลลูนไปชมเมือง ซึ่งถือว่าเป็นจุดเชคอินที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด! สรุปก็คือ แค่วันแรกที่มาถึงทูร์เคีย เราก็บินไป 3 ไฟลท์แล้ว

 

เริ่มต้นทริปยังหฤโหดขนาดนี้ ตลอดทริปก็ไม่น้อยไปกว่านี้เลย

 

ในเมืองคัปปาโดเกีย

 

คัปปาโดเกีย ( Cappadocia) บอลลูนเมืองหินภูเขาไฟ

 

“โอ้โห..ทำไมมันสวยขนาดนี้!”

ถ้าคุณเคยขึ้นบอลลูนชมเมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) มาแล้ว ก็คงจะรู้สึกเหมือนกับผู้เขียน และที่โชคดีมากๆ ของกลุ่มเราก็คือ ในวันที่เราขึ้นบอลลูน อากาศแจ่มใส ไร้เมฆบดบัง และลมก็แรงกำลังดี เลยทำให้พวกเราเพลิดเพลินกันมาก พยายามจะถ่ายภาพความสวยงามให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โพสต์ลงโซเชียลมีเดียของตัวเองและส่งภาพให้คนทางบ้านอิจฉาเล่นๆ แต่ก็พบว่าความสวยงามจากกล้อง ไม่สามารถสู้การมาเห็นภาพความสวยงามและอลังการของเมืองหินภูเขาไฟด้วยตาเนื้อได้เลย คุ้มค่ากับการตื่นตั้งแต่ตี 4 มากๆ

 

คัปปาโดเกียตั้งอยู่บนพื้นที่ราบสูงที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,000 เมตร ประกอบไปด้วยยอดภูเขาไฟ ที่มีภูเขาเอร์จีเยส (Erciyes) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดที่สูง 3,917 เมตร ซึ่งมีอุทยานแห่งชาติเกอเรเมและภูมิภาคเขาหินแห่งคัปปาโดเกีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากการประทุของหินภูเขาไฟที่ทับถมกันเป็นเวลายาวนาน ประกอบกับลมและน้ำกัดเกาะ จนเป็นรูปร่างประหลาดเป็นลักษณะปล่องๆ ไฟ หรือเรียกกันว่า “เห็ดปล่องไฟ” แล้วมนุษย์ก็เข้าไปขุดเจาะเพื่อสร้างที่อยู่อาศัยแบบอยู่ร่วมกับภูมิสันฐานธรรมชาติรูปทรงต่างๆ ทั้งบนดินและใต้ดิน (ที่มีความลึกถึง 8 ชั้น!!! ขุดไปไหนยังไงเนี้ย) สวยงามน่าหลงใหลมากๆ ทั้งนี้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎการกล่าวถึงคัปปาโดเกียตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “จักรวรรดิเปอร์เซีย”

 

อย่างที่เขียนในตอนต้นไว้ว่าทริปนี้หฤโหดไม่ธรรมดา เพราะเรายังคงเดินเท้าต่อเนื่องไปยังพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งเกอเรเม (Goreme) ทำให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ทางศาสนาย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เพราะเกอเรเม เป็นชุมชนนักบวช จึงมีโบสถ์ที่สร้างด้วยการขุดเจาะหินภูเขาไฟทำเป็นห้องต่างๆ ที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา และยังมีจิตรกรรมฝาผนังเขียนสีภาพพระเยซูและนักบวช ซึ่งสมบูรณ์มากๆ เสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายภาพข้างใน

 

ความสวยงามและการดำรงอยู่ของมนุษย์ในยุคโบราณนี่น่ามหัศจรรย์มากจริงๆ เพราะพยายามจินตนาการภาพตอนที่อาจารย์ต้นและเหล่าไกด์บรรยายว่า ช่องประตูหน้าต่าง ห้องหับต่างๆ ใช้แรงมนุษย์ขุด ก็ได้แต่คิดในใจว่าพวกเราในยุคศตวรรษที่ 21 คงไม่คิดหาทำแบบนั้นแน่ๆ

 

เราใช้เวลาอยู่ที่คัปปาโดเกียแค่ 2 คืน และท่องเที่ยวตามสถานที่มรดกโลกกันจนเต็มที่ ก่อนจะไปยังจุดหมายต่อไป มหานครอิสตันบูล (Istanbul)

 

ซากเมืองโบราณเอฟีซัส

 

สู่อิสตันบูล มหานครหลวง 3 จักรวรรดิ

 

อิสตันบูล มหานคร 2 ทวีป เป็นเมืองที่มีทำเลโดดเด่นและเป็นภูมิศาสตร์สำคัญของ 3 จักรวรรดิ ได้แก่ จักรวรรดิโรมันตะวันออก, จักรวรรดิไบเซนไทน์ และจักรวรรดิออตโดมัน

 

ปัจจุบันอิสตันบูลเป็นเมืองที่ประชากรมากที่สุดในทูร์เคียและยุโรป และยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อีกด้วย

 

แม้ว่าพื้นที่ฝั่งยุโรปของทูร์เคียจะมีเพียงน้อยนิด ซึ่งผ่ากลางโดย “ช่องแคบบอสฟอรัส” แต่การได้ล่องเรือฟังเรื่องราวของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ก็ยิ่งทำให้เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ในดินแดนแห่งนี้มากขึ้น

 

เราล่องเรือกันจนค่ำ อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงทุกวัน ตอนกลางวันแดดแรง ตอนเย็นลมเย็นยะเยือก กว่าจะได้เข้านอนก็ดึกแล้ว แต่ก็เต็มอิ่มไปด้วยบรรยากาศที่เพลิดเพลินสุดๆ

 

ฮาเกีย โซเฟีย

 

ฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophiia) 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง

 

สำหรับคนชอบของเก่าๆ แบบเรา การมาเที่ยวทริปนี้เติมเต็มแรงบันดาลใจและความฝันสุดๆ เพราะได้ชื่นชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายพันปี ผ่านการสร้างเพิ่มเติมถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่จักรวรรดิโรมันมาจนถึงออตโตมัน จากโบสถ์คริสต์สู่มัสยิด ทุกเรื่องราวการเมืองความขัดแย้ง การสถาปนาและล่มสลายของหลายจักรวรรดิ แต่ฮาเกียโซเฟียยังคงตั้งตระหง่านไม่สลายไป ปัจจุบันรัฐบาลทูร์เคียได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเรา ได้ชื่มชนเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ผ่านร่องรอยสถาปัตยกรรมนี้ด้วย ภายในตกแต่งด้วยเสาหินอ่อน และพื้นหินอ่อน ซึ่งนำมาจากเมืองโบราณอนาโตเลีย, ซีเรีย และเมืองอื่นๆ โดยรอบ

 

เราใช้เวลาอยู่ที่ฮาเกียโซเฟียนานพอสมควรเพื่อชื่นชมความงดงามของสถาปัตยกรรมแห่งนี้ โดยผู้เขียนขอยกให้สถานที่นี้ สวยสะกดที่สุดในทริปนี้เลย

 

สิ่งของที่ถูกเก็บอยู่ในพระราชวังทอปกาปี

 

ในที่สุดเราก็มาถึงสถานที่สุดท้ายที่เล่าสู่กันอ่านสำหรับทริปนี้

 

พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้เขียนและเพื่อนๆในทริปใช้เวลาอยู่ในนั้นนานที่สุด เพราะที่นี่กว้างใหญ่มาก มีประตูกั้นชั้นต่างๆหลายชั้น แบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก ได้แก่ คอร์ทยาร์ด 1 ถึงคอร์ทยาร์ด 4 และส่วนของฮาเร็ม (Harem) โดยถูกสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ.1459 โดยถูกใช้เป็นพระราชวังหลักของสุลต่านแห่งจักรวรรดิออตโตมานหลายพระองค์

 

ทริปเรามาเที่ยวชมพระราชวังทอปกาปีในวันท้ายๆ ซึ่งกำลังขาก็เริ่มจะอ่อนแรงเพราะเดินมาเยอะมาก แถมผู้เขียนยังพกอาการเจ็บขามาจากเมืองไทยอีก สุดท้ายก็กัดฟันสู้เข้าไปดูทุกห้องทุกชั้นเลยทีเดียว

 

สิ่งที่ผู้เขียนได้เห็นผ่านข้าวของต่างๆ ที่ถูกจัดแสดงในแต่ละห้อง ทำให้เห็นว่าในยุคศตวรรษที่ 15 จักรวรรดิออตโตมันมีความรุ่มรวยมากขนาดไหน เสื้อผ้า เครื่องประดับ ของใช้ของเหล่าสุลต่าน มเหสีและราชวงศ์ประกอบด้วยเพชรนิลจินดาละลานตาไปหมด แม้กระทั่งปกหนังสือยังประดับด้วยพลอย ขอบหนังสือยังเป็นขอบทองอีกต่างหาก แต่ไม่เพียงความรุ่งเรืองทางด้านเงินทองเท่านั้น แต่ยังความรู้ทางด้านวิศกรรมและการเดินเรืออย่างมาก ผู้เขียนประทับใจแผนที่เดินเรือชิ้นหนึ่งอย่างมาก เลยถ่ายภาพเก็บมาไว้ โดยอาจารย์ต้นบรรยายว่า แผนที่นี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นแผนที่เดินเรือแรกของโลกปรากฏทวีปอเมริกา ซึ่งชาวออตโตมันเป็นคนเขียนขึ้นมา แสดงให้เห็นถึงความสามารถในด้านการเดินเรือ แล้วยิ่งตอกย้ำการเป็นจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่

 

นอกจากนี้ยังมีลายผนังกระเบื้องที่สวยจนต้องหยุดมอง จนกลายมาเป็นลายกระเบื้องที่เป็นแรงบันดาลใจและผลิตเป็นสินค้าต่างๆไม่ว่าจะเป็น จานชาม ผ้าพันคอ แก้วน้ำ จนกลายเป็นสินค้าขายดีของทูร์เคียไปเลย

 

พระราชวังทอปกาปีแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO แล้ว ในปี ค.ศ.1985 และที่ทูร์เคียก็มีมรดกโลกนับแล้วได้ 22 แห่งและยังมีต่อคิวอีกเพียบ

 

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผู้เขียนอยากจะเล่าสู่กันอ่านในช่วงเวลาที่จำกัด สำหรับผู้อ่านท่านไหนที่ชอบท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรม พลาดไม่ได้จริงๆ ที่ท่านจะต้องมาที่ประเทศทูร์เคียสักครั้ง รับรองว่าจะต้องประทับใจ

 

และผู้เขียนเองก็คงจะกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน