
“As the world fell, each of us in our own way was broken. It was hard to know who was more crazy… me… or everyone else”
[เมื่อโลกล่มสลาย พวกเราต่างคนต่างอยู่กันอย่างเสียสติ มันยากที่จะรู้ว่าใครบ้ากว่าใคร ผม…หรือว่าคนอื่นๆ]
นี่คือประโยคเกริ่นนำโดย แม็กซ์ ร็อกคาทานสกี (Max Rockatansky) ตัวเอกจากภาพยนตร์เรื่อง Mad Max: Fury Road (2015) เมื่อปี 2015 ที่แสดงโดย ทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) ซึ่งเป็นประโยคที่พรรณนาให้เห็นถึงภาพความโหดร้ายในโลกที่ล่มสลายในแดนร้างกลางทะเลทรายที่เป็นฉากหลังในภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี และในเวลานี้ Furiosa: A Mad Max Saga (2024) ภาคใหม่ในแฟรนไชส์เดียวกัน ก็ได้กลับมาเล่าเรื่องเบื้องหลังของดินแดนแห่งนี้
Mad Max คือภาพยนตร์ที่พาเราดำดิ่งเข้าสู่โลกหลังหายนะ (post-apocalyptic) ที่เต็มไปด้วยความขาดแคลน ความแห้งแล้ง และบรรยากาศอันร้อนระอุได้อย่างน่าสนใจ ในโลกที่ทุกอย่างโกลาหลเกินความควบคุม น้ำคือสิ่งที่หายากและมีค่าดั่งทองคำ ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ช่วยต่อลมหายใจให้มนุษยชาติอยู่รอดท่ามกลางโลกอัดแสนโหดร้ายนี้ต่อไปได้
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า น้ำคือทรัพยากรธรรมชาติที่มีความจำเป็นอย่างมากต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณ 60% ของน้ำหนักตัว ซึ่งน้ำทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย ทำให้กระบวนการต่างๆ ในร่างกาย เช่น กระบวนการไหลเวียนเลือด กระบวนการย่อยอาหาร กระบวนการดูดซึมอาหาร และกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำงานได้อย่างเป็นปกติ หากร่างกายขาดน้ำจะเสียชีวิตภายใน 2-3 วัน นอกจากนี้ น้ำยังเป็นสิ่งจำเป็นในการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารหล่อเลี้ยงทุกคนบนโลกได้ หากวันหนึ่งโลกของเราขาดแคลนน้ำ ย่อมนำไปสู่หายนะของมวลมนุษยชาติ และทุกชีวิตบนโลกอย่างไม่ต้องสงสัย เหมือนอย่างที่เห็นได้ในภาพยนตร์เรื่องนี้
“Do not, my friends, become addicted to water. It will take hold of you, and you will resent its absence.”
[สหายทั้งหลาย…อย่าไปเสพย์ติดในน้ำเหล่านี้ มันจะทำให้เป็นนายเจ้า และเจ้าจะอยู่ไม่ได้หากว่าขาดมัน]
ประโยคข้างบนนี้กล่าวโดย อิมมอร์ทัน โจ (Immortan Joe) ตัวร้ายของเรื่อง ผู้ครอบครองทรัพยากรน้ำในขณะที่กำลังแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนในการปกครองของเขา ท่ามกลางประชาชนที่กำลังต่อสู้เพื่อแก่งแย่งชิงน้ำอยู่นั้นสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์อันน่ากลัวหากโลกของเราต้องประสบกับวิกฤติการณ์ขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
คำถามคือ วิกฤติการณ์การขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรงที่เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะสามารถเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงได้หรือไม่?
ภาพเหตุการณ์ความน่ากลัวที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ Mad Max แท้จริงแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่ห่างไกลจากความเป็นจริงไปเสียทีเดียว ถึงแม้ว่าโลกของเราจะประกอบไปด้วยน้ำถึง 70% แต่น้ำที่สามารถนำมาใช้ดื่มและทำการเกษตรได้มีเพียงแค่ 3% เท่านั้น ในขณะที่น้ำจืด 2 ใน 3 ของโลกอยู่ในรูปของธารน้ำแข็งที่ไม่สามารถนำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ ทำให้การเข้าถึงน้ำที่มีคุณภาพเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภคจึงมีอยู่อย่างค่อนข้างจำกัด
หากเราพิจารณาจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และสถิติที่ผ่านมาพบว่า ในปัจจุบันมีประชากรถึง 703 ล้านคน ที่ไม่สามารถเข้าถึงน้ำที่มีคุณภาพได้ ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 10 ของประชากรทั้งหมดในโลกหรือประมาณ 7 พันล้านคนเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นมีประชากรถึง 2.3 พันล้านคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มี ‘ความเครียดน้ำ’ (water stress) ซึ่งหมายถึงพื้นที่ที่ใช้งานน้ำจืดจากแหล่งน้ำจืดหมุนเวียนเป็นปริมาณ 25% ขึ้นไป เทียบกับทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ พูดง่ายๆ ก็คือ ภาวะการขาดแคลนน้ำที่เกิดขึ้นเมื่อความต้องการน้ำมากกว่าปริมาณน้ำที่มีอยู่นั่นเอง นอกจากนั้น ยังมีประชากรถึง 4 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็น 2 ใน 3 ของประชากรโลก กำลังประสบปัญหาการขาดน้ำอย่างรุนแรงอย่างน้อย 1 เดือนต่อปี
จากรายงานที่ผ่านมา ได้มีการคาดการจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations: FAO) ว่าภายในปี 2025 ประชากรถึง 1800 ล้านคนจะอาศัยอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคที่ประสบปัญหาการขาดน้ำอย่างรุนแรง (absolute water scarcity) ด้วยสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน ทำให้เกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเครียดน้ำสูงภายในปี 2030 นอกจากนี้ ความแห้งแล้งในบางพื้นที่อาจรุนแรงจนทำให้มีประชากรอพยพมากกว่า 700 ล้านคน
ปัญหาการขาดแคลนน้ำเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นถึง 3 เท่าในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา การจัดการทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสะสมของมลพิษ รวมทั้งการเข้าไม่ถึงทรัพยากรเนื่องจากความยากจนและความไม่เท่าเทียม โดยธนาคารโลก (World Bank) ได้มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2050 การขาดแคลนน้ำจะนำไปสู่การลดลงของ GDP ในบางประเทศถึง 6% เลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่าวิกฤติการณ์การขาดแคลนน้ำ เป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญที่มนุษยชาติต้องเผชิญ หากเรายังปล่อยละเลยต่อไป สถานการณ์โลกของเราในอนาคตก็ไม่น่าจะต่างจากที่เห็นในภาพยนตร์มากนัก
ดังนั้นการหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความมั่นคงด้านน้ำ (water security) หรือความสามารถในการหาน้ำ ในปริมาณและคุณภาพที่เพียงพอต่อความต้องการของเศรษฐกิจมาจนถึงสุขภาพของมนุษย์ จึงเป็นที่เรื่องจำเป็นและเร่งด่วนสำหรับมนุษยชาติในปัจจุบัน
จากข้อมูลของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้แก่ การปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติ การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำในการเกษตร การซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำ การติดตามคุณภาพของน้ำ การบูรณาการจัดการน้ำเข้ากับนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแแปลงสภาพภูมิอากาศ และการใช้แหล่งน้ำทางเลือก อย่างการเก็บน้ำฝนหรือการแยกเกลือออกจากน้ำทะเล โดยวิธีการทั้งหมดนี้ จะสามารถบรรเทาปัญหาความแห้งแล้งที่เกิดขึ้นบนโลกของเราน้ำไปสู่ความมั่นคงทางน้ำได้ในที่สุด
การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างชาญฉลาด นับเป็นสิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำ และป้องกันไม่ให้โลกของเราตกอยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับโลกอันแห้งแล้งอย่างที่เราเห็นในภาพยนตร์ Mad Max ในอนาคต ด้วยการมีส่วนร่วมและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจะสามารถสร้างหนทางสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีความมั่นคงด้านน้ำได้ ก่อนที่จะสายเกินไป
สำหรับภาพยนตร์ Furiosa: The Mad Max Saga จะพาทุกคนย้อนเวลากลับไปช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ในภาค Fury Road หรือ 45 ปีหลังจากโลกล่มสลาย โดยจะเล่าเรื่องราวภูมิหลังของ ฟูริโอซา (Furiosa) ตัวละครหญิงสุดแกร่ง ที่เคยฝ่ามรสุมขบวนรถทะเลทรายมหาโหดร่วมกับแมกซ์ในภาค Fury Road ซึ่งในภาคนี้ เราจะได้ทำความรู้จักฟูริโอซามากขึ้น ในฐานะสาวน้อยที่ถูกลักพาตัวจาก Green Place of Many Mothers โดย Biker Horde ผู้ยิ่งใหญ่ ฟูริโอซาจะสามารถเอาชีวิตรอดจากภัยอันตรายต่างๆ และหาทางกลับบ้านเกิดของตัวเองได้หรือไม่ คงต้องไปติดตามกันในภาพยนตร์ ส่วนโลกของเราจะรอดจากการขาดแคลนน้ำหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่เราต้องร่วมมือกันต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง
บทความโดย วัชรินทร์ อันเวช (The Principia)