อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับการอ่านหนังสือในตอนนี้น่าจะเป็นการอ่าน E-book หรือหนังสือแบบดิจิทัล ที่ทำให้เราอ่านหนังสือจากที่ไหนก็ได้ เสมือนเราพกทั้งห้องสมุดไปกับเราในทุกๆ ที่ แถมยังประหยัดพื้นที่จัดเก็บ เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ดองหนังสือจนบ้านไม่มีที่วางเพิ่ม ทีนี้ อุปกรณ์ที่สำคัญมากๆ ก็คืออุปกรณ์สำหรับอ่าน ซึ่งสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตทำได้อยู่แล้ว แต่สำหรับนักอ่านตัวยง E-book Reader คืออีกหนึ่งตัวเลือก ที่เดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลาย และจะขอหยิบมาป้ายยากันในวันนี้
สิ่งหนึ่งที่เครื่อง E-book Reader แตกต่างจากหน้าจอโทรศัพท์และแท็บเล็ตคือจอของ E-book Reader ส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยี E-ink ที่ใต้จอมีผงหมึกพิเศษอยู่ด้านล่าง ตัวเครื่องจะทำการจ่ายไฟเพื่อควบคุมการขยับพวกอนุภาคของหมึกที่อยู่ในแต่ละจุด ทำให้ได้หน้าจอที่เมื่อมองดูแล้วจะมีลักษณะคล้ายกระดาษที่ถูกพิมพ์ด้วยหมึกจริงๆ จึงอ่านได้สบายตา และเนื่องจากตัวจอไม่ได้ใช้การเปล่งแสงออกมา (บางรุ่น อาจจะมีการเติมหลอดไฟ เพื่อให้เราสามารถอ่านในที่มืดได้) พลังงานที่ใช้เลยต่ำ ถึงจะมีแบตเตอรี่ขนาดเล็ก แต่ก็สามารถอ่านได้อย่างนานเป็นสัปดาห์ แต่ก็นั่นแลกมากับข้อเสียสำคัญคือ refresh rate ของจอที่ต่ำมากๆ ไม่เหมาะกับการดูภาพเคลื่อนไหวหรือคลิปวิดีโอ และ E-ink จะมาในหน้าจอสีขาวดำกันเสียส่วนใหญ่ แม้จะเริ่มมีหน้าจอสีให้เห็นกันแล้วในรุ่นใหม่ๆ
E-book Reader ที่มาแนะนำก็มีตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ราคาน่ารัก ไปจนถึงเครื่องระดับท็อปที่มีหน้าจอสี จัดเก็บหนังสือได้นับหมื่นเล่ม พร้อมปากกาลำหรับจดบันทึก ใครที่บ้านมีพื้นที่น้อย ที่เก็บหนังสือไม่ค่อยพอ ลองดู E-book Reader เหล่านี้เป็นตัวเลือก
Amazon Kindle
ขอเปิดด้วย E-book Reader ในตำนานอย่าง Amazon Kindle ที่วางขายมานานจนตอนนี้มาถึงรุ่นที่ 11 จุดเด่นของเครื่องนี้คือราคาที่ไม่สูงมาก เพราะทาง Amazon เน้นขายเครื่องนี้โดยอาจจะไม่ได้หวังกำไรมากนักจากตัวเครื่อง แต่เมื่อซื้อเครื่องมาแล้ว เราก็ต้องซื้อหนังสือจากคลังของ Amazon
จุดเด่น
จุดด้อย
จากข้อสังเกตทั้งหมด ทำให้ Amazon Kindle เป็น E-book Reader เริ่มต้นสำหรับหลายๆ คน บวกกับราคาที่ถูกกว่าเครื่องอื่นๆ แต่จะไม่เหมาะกับใครก็ตามที่ซื้อหนังสือผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่รองรับการดาวน์โหลดไฟล์หนังสือ
Meebook M6
สำหรับคนที่ต้องการเครื่องที่สามารถติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพื่ออ่านแพลตฟอร์อื่นๆ ได้ ด้วยขนาด น้ำหนัก และราคาที่ใกล้เคียงกับ Kindle พร้อมกับมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย Meebook M6 ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
จุดเด่น
Meebook M6 เหมาะสำหรับคนที่หาซื้อเครื่องที่มีตัวแทนจำหน่าย มีการรับประกันในประเทศไทย พร้อมทั้งสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเพื่ออ่านหนังสือจากแพลตฟอร์มอื่น เช่น Meb และ Ookbee ด้วยราคาที่สูงกว่า Kindle ไม่มาก ข้อสังเกตคือ เมื่อการทำงานด้วยระบบ Android จะกินพลังงานมากกว่า Kindle ทำให้อาจจะต้องชาร์จไฟบ่อยกว่า แต่ก็ถือว่ามากพอที่จะใช้งานได้หลายวัน
BOOX Poke5
อีกหนึ่งแบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยคือ BOOX รุ่นน้องสุด คู่แข่งโดยตรงกับ Meebook M6 คือ BOOX Poke 5
จุดเด่น
จากสเปกและราคา BOOX Poke 5 เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Meebook M6 ทว่าอาจจะแพ้ในเรื่องของสเปกภายในที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความลื่นไหลในการใช้งาน แต่ด้วยเหตุผลที่ค่า refresh rate ของหน้าจอ E-ink มักจะไม่ได้สูงอยู่แล้ว ความแตกต่างจากการใช้งานจึงมีให้เห็นไม่มาก
Meebook M10 Pro Edition
มากันที่ฝั่งตัวท็อปของ Meebook กันบ้าง Meebook M10 Pro Edition เรียกว่าจัดเต็มมาด้วยการรองรับปากกาสำหรับการเขียน เป็นอีกตัวเลือกที่เหมาะกับคนชอบจดโน้ต
จุดเด่น
จุดด้อย
Meebook M10 Pro Edition เป็นตัวท็อปของฝั่ง Meebook ที่พัฒนาจากรุ่น M6 มีการรองรับปากกาสำหรับวาดเขียน และหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้เราสามารถเก็บหนังสือ และ การจดบันทึกต่างๆ ได้ในตัว
BOOX Tab Ultra C Pro
หากคิดว่าตัวท็อปของฝั่ง Meebook สุดแล้ว ถ้าอยากไปสุดจริงๆ ขอแนะนำจากแบรนด์ BOOX ในรุ่น Tab Ultra C Pro ที่บอกเลยว่า อาจจะเกินคำว่า E-book Reader ไปแล้ว
จุดเด่น
จุดด้อย
สำหรับ BOOX Tab Ultra C Pro เป็นอะไรที่เกินคำว่า E-book Reader ไปไกลมากๆ ทั้งหน้าจอแบบ E-ink ที่สามารถแสดงผลสีได้ เหมาะกับชาวอ่าน Webtoon และยังสามารถเป็นอุปกรณ์สำหรับจดบันทึกได้สบายๆ เป็นอีกทางเลือกสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษาที่ไม่อยากใช้หน้าจอแท็บเล็ตที่เปล่งแสงออกมาให้ปวดตาเมื่อใช้ไปนานๆ โดยยังมีฟีเจอร์เทียบเท่ากับแท็บเล็ตทั่วไป แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นก็แลกมากับราคาที่แอบดุดันพอสมควร เทียบได้กับแท็บเล็ต Android ดีๆ เครื่องหนึ่งเลยล่ะ