svasdssvasds
เนชั่นทีวี

lifestyle1

ภาพวาดจากอำนาจลึกลับของ “Hilma af Klint” ศิลปินหญิงผู้บุกเบิกศิลปะนามธรรม

ฮิลมา อัฟ คลินต์ เกิดในวันที่ 26 ตุลาคม 1862 กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เธอฉายแววทักษะด้านศิลปะและเข้าศึกษาในสาขาภาพเหมือนบุคคลและภาพทิวทัศน์ ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงจะได้รับการศึกษาขั้นสูง ใครจะรู้ว่าต่อมาเธอคือคนแรกที่บุกเบิกศิลปะนามธรรม

ก่อนหน้านี้ ในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกที่ผ่านมานั้นมีความเชื่อกันว่า งานศิลปะแบบนามธรรม (abstract art) หรือศิลปะไร้รูปลักษณ์ (non-figurative art) นั้นริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกโดยศิลปินเพศชายอย่าง วาซีลี คันดินสกี (Wassily Kandinsky) หรือ คาซิมีร์ มาเลวิช (Kazimir Malevich) แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมีการค้นพบหลักฐานในภายหลังว่า ศิลปินผู้ริ่เริ่มการทำงานศิลปะนามธรรมนั้นเป็นศิลปินเพศหญิงต่างหาก ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า ฮิลมา อัฟ คลินต์ (Hilma af Klint) ศิลปินหญิงชาวสวีเดน ที่โลกเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นผู้บุกเบิกงานศิลปะนามธรรมเป็นคนแรกๆ ของโลกนั่นเอง

ฮิลมา อัฟ คลินต์ (Hilma af Klint). ภาพจาก Wikimedia Commons

ในยุคสมัยปัจจุบัน เราอาจทำความเข้าใจกับผลงานศิลปะนามธรรมในรูปของงานศิลปะสมัยใหม่ (modern art) ที่เสาะหารูปทรงและการแสดงออกใหม่ๆ โดยได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณ อารมณ์ ความรู้สึก แนวคิดด้านปรัชญา เทววิทยา ไปจนถึงประเด็นทางสังคมการเมือง และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ที่มีพัฒนาการอย่างมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าจะเป็นศิลปินอย่าง วาซีลี คันดินสกี, คาซิมีร์ มาเลวิช, พีต โมดรียาน (Piet Mondrian) ฯลฯ อย่างไรก็ตาม การทำงานศิลปะนามธรรมของ ฮิลมา อัฟ คลินต์ นั้นเกิดขึ้นโดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะสมัยใหม่ในยุคนั้นเลยแม้แต่น้อย
 

ฮิลมา อัฟ คลินต์ เกิดในวันที่ 26 ตุลาคม 1862 ในเขตเทศบาลเมืองโซลนา กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ช่วงวัยเด็ก เธอใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันงดงามของชนบท เธอสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงวัยแรกเริ่มของชีวิต ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานศิลปะของเธอในเวลาต่อมา ฮิลมาได้รับสืบทอดความหลงใหลในวิชาคณิตศาสตร์และพฤกษศาสตร์จากครอบครัว ต่อมาเธอเริ่มฉายแววพรสวรรค์ทางด้านศิลปะ และเข้าศึกษาศิลปะในสาขาภาพเหมือนบุคคลและภาพทิวทัศน์ ในสถาบัน Konstfack หรือ University of Arts, Crafts and Design ในสต็อกโฮล์ม ซึ่งออกจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกแหวกขนบในยุคนั้นอย่างมาก เพราะในยุคต้นศตวรรษที่ 20 นั้น แทบไม่มีผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาขั้นสูงเลย

พออายุ 20 ปี เธอได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในสถาบัน The Royal Swedish Academy of Fine Arts และจบการศึกษาในระดับเกียรตินิยม หลังจากนั้นเธอเริ่มต้นอาชีพศิลปินด้วยการเปิดสตูดิโอในเมืองและเริ่มเป็นที่รู้จักจากผลงานภาพวาดทิวทัศน์ ภาพเหมือนบุคคล และภาพลายเส้นของต้นไม้พืชพันธุ์ ถึงแม้ภาพวาดแบบประเพณีนิยมเหล่านี้จะเป็นที่นิยมและกลายเป็นรายได้หลักเลี้ยงชีพของเธอ แต่สิ่งที่เธอหลงใหลอย่างลึกซึ้งกลับเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง นั่นก็คือสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่างเรื่องของปรัชญาและจิตวิญญาณ อันเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ที่น้องสาวของเธอเสียชีวิตลงในปี 1880 นั่นเป็นครั้งแรกที่มิติทางจิตวิญญาณในชีวิตและการทำงานศิลปะของเธอเริ่มต้นขึ้น
Altarpiece, No. 1, Group X. ภาพจาก Wikimedia Commons

ในปี 1886 เธอละทิ้งการวาดภาพสิ่งที่เป็นรูปธรรมตามแบบประเพณีนิยมที่เธอร่ำเรียนมาอย่างภาพบุคคลและทิวทัศน์ และหันเหมาสู่สิ่งที่เธอสนใจหลงใหล นั่นก็คือเรื่องราวของโลกที่มองไม่เห็นอันเหนือธรรมชาติอย่างโลกของจิตวิญญาณ ซึ่ง ‘จิตวิญญาณ’ ที่ว่านี้ก็ไม่ได้หมายถึง จิตวิญญาณในการทำงานศิลปะแบบที่พี่เฉลิมชัยแกชอบพูดถึงบ่อยๆ หากแต่เป็นเรื่องของ วิญญาณและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘ผี’ นั่นแหละ 

เธอรวมตัวกับศิลปินหญิงอีกสี่คนก่อตั้งกลุ่มศิลปินในชื่อ “De Fem” (The Five) อย่างเงียบๆ พวกเธอดำเนินพิธีกรรมติดต่อกับโลกวิญญาณและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ อย่างการเล่นกระดานผีถ้วยแก้วฝรั่ง (Ouija อ่านว่า วีจี) และการเข้าทรง ซึ่งพวกเธอเชื่อว่าวิญญาณเหล่านั้นต้องการที่จะสื่อสารผ่านการวาดภาพของพวกเธอ

พวกเธอทำการบันทึกเอาไว้ในหนังสือเกี่ยวกับระบบการทำงานศิลปะรูปแบบใหม่ที่ได้รับการถ่ายทอดความคิดอันลี้ลับที่อยู่ในรูปแบบของสารหรือถ้อยคำจากจิตวิญญาณอันสูงส่งที่เธอเรียกว่า “Höga Mästare” (The High Masters) หรือ “เหล่าปรมาจารย์ผู้สูงส่ง”

Svanen, nr 17, grupp IX/SUW. ภาพจาก Wikimedia Commons

ในการทำงานศิลปะร่วมกับกลุ่ม The Five ฮิลมา อัฟ คลินต์ ได้คิดค้นทดลองวาดภาพแบบอัตโนมัติในช่วงปี 1896 โดยเธอทำเทคนิคในลักษณะนี้ขึ้นมาก่อนที่ศิลปินกลุ่มเซอร์เรียลลิสม์จะคิดค้นเทคนิคการวาดเส้นอัตโนมัติ* อันลือลั่นเป็นเวลาหลายสิบปีเลยด้วยซ้ำไป ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นคือเธอใช้เทคนิคนี้สร้างสรรค์ภาพนามธรรมในรูปทรงเรขาคณิตอย่างสามเหลี่ยม วงกลม เส้นตรงอันสมบูรณ์ออกมา (ซึ่งปกติตั้งใจวาดยังไม่ค่อยจะตรงเลย) เธอกล่าวว่า เธอได้ความสามารถในการสร้างงานเหล่านี้จากพลังที่มองไม่เห็นทั้งจากโลกภายในและโลกภายนอก 

*การวาดเส้นอัตโนมัติ (automatic drawing) หรือ surrealist automatism เป็นวิธีการทำงานของศิลปินกลุ่มเซอร์เรียลลิสม์ ที่หยุดการควบคุมของสติสัมปชัญญะ และเปิดโอกาสให้จิตไร้สำนึกได้เป็นอิสระในการทำงานศิลปะ พูดง่ายๆ ก็คือการวาดรูปแบบปล่อยไหล วาดอะไรออกมาแบบไม่ตั้งใจ ไม่ต้องคิดก่อนล่วงหน้า 

เมื่อเธอคุ้นเคยกับการแสดงออกทางศิลปะเช่นนี้แล้ว ในปี 1905 เธอได้รับการว่าจ้างโดยบุคคลกลุ่มหนึ่งให้สร้างสรรค์ผลงานที่สำคัญที่สุดของเธอ ซึ่งเป็นภาพวาดสำหรับ ‘วิหาร’ (Temple) ที่ประกอบด้วยภาพวาดแบบนามธรรมที่มาก่อนกาล อย่างไรก็ตาม เธอเองก็ไม่เคยเข้าใจว่า ‘วิหาร’ ที่ว่านี้หมายถึงอะไร และเธอเองรู้สึกว่าเธอถูกกำกับโดยพลังอำนาจลึกลับบางอย่างที่ชี้นำมือของเธอให้วาดภาพ เธอเขียนบันทึกเอาไว้ว่า

“ภาพเหล่านี้ถูกวาดผ่านตัวฉันด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ โดยไม่ได้มีการร่างภาพเลยแม้แต่น้อย ตอนที่วาด ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าภาพวาดเหล่านี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร อย่างไรก็ตาม ฉันทำงานด้วยความรวดเร็วและแน่นอน โดยไม่มีการเปลี่ยนฝีแปรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

The Ten Largest, No. 1, Childhood. ภาพจาก Wikimedia Commons

ฮิลมา อัฟ คลินต์ วาดภาพชุดนี้ออกมา 193 ภาพ ที่ถูกจำแนกหมวดหมู่ออกเป็นกลุ่มย่อยๆ หลายกลุ่ม ในบรรดานั้นมีภาพวาดจำนวนสิบชิ้นที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เมตร ซึ่งถูกเรียกว่า “The Ten Largest” ภาพวาดเหล่านี้มีความสดใหม่และสุนทรียะอันแปลกตา ด้วยเส้นสายอันรวดเร็วและฉับไว ไม่ว่าจะเป็นภาพวงกลมที่ถูกแบ่งซอยเป็นส่วนๆ รูปเกลียวที่ถูกแบ่งเป็นแถบสีสเปกตรัม สัญลักษณ์ ตัวอักษร และถ้อยคำ ภาพวาดในชุดนี้ของเธอมักแสดงให้เห็นถึงความเป็นแผนภาพ ความสมมาตร ภาวะของความเป็นคู่ การพึ่งพาอาศัยกันและกัน การขึ้นและลง ข้างนอกและข้างใน เรื่องทางโลกและเรื่องของความลี้ลับ

เมื่อเธอทำผลงานชุดนี้เสร็จสิ้นลง การชี้นำจากพลังอำนาจลึกลับก็สิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคงวาดภาพแบบนามธรรมต่อไป เธอค้นพบหนทางใหม่ในการแสดงออกทางการวาดภาพ เธอพัฒนาภาษาศิลปะขึ้นใหม่ ภาพวาดของเธอมีความเป็นอิสระจากอิทธิพลภายนอกมากขึ้น แต่โลกของจิตวิญญาณก็ยังเป็นแรงบันดาลใจหลักในการสร้างสรรค์ของเธอไปจนตลอดชีวิต

หลังจากจบจากงานชุดวิหาร เธอเปลี่ยนจากการวาดภาพสีน้ำมันมาเป็นสีน้ำที่มีขนาดเล็กลง และแสดงออกถึงการสอดประสานระหว่างโลกของวัตถุและจิตวิญญาณ ความดีและความชั่ว บุรุษและสตรี รวมถึงได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์และศาสนา ตั้งแต่การค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปจนถึงคำสอนทางจิตวิญญาณของนักมนุษยปรัชญา รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของเธอ การพบกับเขาทำให้วงจรการทำงานศิลปะของเธอกลายเป็นระเบียบมากขึ้นด้วยการสอดแทรกสัญลักษณ์และลวดลายต่างๆ อย่าง เปลือกหอย งู ดอกลิลลี่ และไม้กางเขน ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณของเขา

ตลอดชีวิตของเธอ เธอเฝ้าค้นหาทางที่จะทำความเข้าใจกับความลี้ลับที่เธอเคยได้สัมผัสผ่านการทำงานศิลปะของเธอ เธอเขียนบันทึกเกี่ยวกับความคิดและการศึกษาเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้กว่า 150 เล่ม

The Ten Largest, No. 3, Youth. ภาพจาก Wikimedia Commons

ถึงแม้จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างมากมาย แต่ ฮิลมา อัฟ คลินต์ ก็ไม่เคยกล้าจัดแสดง หรือเปิดเผยภาพวาดแบบนามธรรมที่ได้แรงบันดาลใจ (หรือแรงควบคุม) จากภูติผีวิญญาณของเธอออกสู่สายตาสาธารณชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานนามธรรมในช่วงที่เธอทำให้กับวิหาร ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับและถูกตั้งคำถามจากสไตเนอร์ ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณของเธอเอง เธอจึงสรุปว่าคนในยุคสมัยนั้นน่าจะยังไม่พร้อมที่จะเข้าใจงานในลักษณะนี้ เธอถึงกับระบุเงื่อนไขในพินัยกรรมเอาไว้ว่า ผลงานศิลปะนามธรรมของเธอจะต้องไม่ถูกแสดงสู่สาธารณะเป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี หลังจากการเสียชีวิตของเธอ

หลังจากที่เธอเสียชีวิตในปี 1944 ด้วยวัย 82 จากอุบัติเหตุบนท้องถนน ผลงานศิลปะนามธรรมของเธอที่ประกอบด้วยภาพวาด 1,200 ภาพ บทความกว่า 100 ชิ้น และข้อเขียนและภาพร่างผลงานจำนวน 26,000 หน้า จึงถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด จนกระทั่งในปี 1986 หรือ 40 กว่าปีให้หลัง ผลงานของเธอจึงถูกจัดแสดงเป็นครั้งแรกนิทรรศการ The Spiritual in Art, Abstract Painting 1890-1985 ในลอสแองเจลิส ตามมาด้วยอีกหลายนิทรรศการ 

เมื่อนั้น งานศิลปะนามธรรมอันน่าตื่นตะลึงของเธอจึงได้ปรากฏสู่สายตาของสาธารณชนในที่สุด และนำไปสู่การเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ว่า ฮิลมา อัฟ คลินต์ เป็นศิลปินผู้บุกเบิกและคิดค้นศิลปะนามธรรมขึ้นมาเป็นคนแรก เหตุเพราะภาพวาดแบบนามธรรมที่เธอทำขึ้นปี 1906 ซึ่งนับเป็นเวลาห้าปี ก่อนหน้าศิลปินเพศชายอย่างคันดินสกีหรือมาเลวิชจะทำงานศิลปะนามธรรมขึ้นมาเสียอีก นับเป็นการทวงคืนบัลลังก์ผู้บุกเบิกศิลปะนามธรรมจากศิลปินเพศชายมาได้อย่างงดงาม

The Ten Largest, No. 2, Childhood. ภาพจาก Wikimedia Commons

ในปัจจุบัน คอลเล็กชั่นผลงานศิลปะนามธรรมของ ฮิลมา อัฟ คลินต์ ถูกครอบครองและบริหารโดยมูลนิธิ Hilma af Klint ที่ตั้งอยู่ในกรุงสต็อกโฮล์ม สวีเดน ในปี 2017 บริษัทสถาปนิกสัญชาตินอร์เวย์นำเสนอโครงการสร้างศูนย์แสดงงานของ ฮิลมา อัฟ คลินต์ ขึ้นในสต็อกโฮล์ม ด้วยมูลค่ากว่า 6 ล้านยูโร

หลังจากถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ ผลงานของเธอกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทำงานสร้างสรรค์ ไม่เพียงแค่ในวงการศิลปะเท่านั้น หากยังรวมถึงวงการสร้างสรรค์อื่นๆ อีกมากมาย เธอถูกยกย่องให้เป็น ศิลปินผู้ก้าวล้ำนำยุคสมัย เป็นจิตรกรผู้ลึกลับ ผู้เปรียบเสมือนนักเขียนแผนที่แห่งจิตวิญญาณ กระบวนการสร้างสรรค์ผลงานของเธอท้าทายขนบ ค่านิยม และวิธีคิดของงานศิลปะสมัยใหม่อย่างมหาศาล และส่งกำลังใจให้แก่คนทำงานรุ่นหลังว่า ถึงแม้ผลงานของเขาและเธอจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าผลงานเหล่านั้นจะไม่มีคุณค่า หากแต่อาจจะเป็นผลงานที่ล้ำหน้า ล้ำยุคสมัย และเป็นอะไรที่มาก่อนกาลก็เป็นได้

 


ข้อมูลอ้างอิง

  • INSIDE ART, OUTSIDE ART ข้างนอก ข้างใน อะไร (แม่ง) ก็ศิลปะ, ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์, สำนักพิมพ์ SALMON 
  • มูลนิธิ Hilma af Klint สวีเดน hilmaafklint
  • wikipedia