svasdssvasds
เนชั่นทีวี

lifestyle1

“American Fiction” คนดำเขียนนิยายคนดำ แต่ดันถูกใจคนขาว

ธีโลเนียส 'มังก์' เอลลิสัน คืออาจารย์มหาวิทยาลัยผู้รังเกียจนิยายที่เหมารวมและผลิตซ้ำภาพของคนดำที่หน้าตาต้องขมึงทึง เติบโตมาในชุมชนแออัด หรือมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ด้วยเหตุนี้มังก์จึงตัดสินใจเขียนนิยายเสียดสีออกมาเล่มหนึ่ง ทว่านิยายกลับดังเป็นพลุแตก

American Fiction (2023) คือหนังทุนต่ำที่ผงาดเข้าชิงรางวัลออสการ์ห้าสาขา รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี และคว้ารางวัลติดมือกลับบ้านมาได้หนึ่งสาขาคือ ดัดแปลงบทยอดเยี่ยม โดย คอร์ด เจฟเฟอร์สัน โปรดิวเซอร์ที่เพิ่งกระโจนมากำกับและเขียนบทหนังยาวเรื่องแรก ขณะที่วัดกันด้านรายได้ หนังที่ออกฉายแบบจำกัดโรงในสหรัฐอเมริกาและภายหลังฉายแบบสตรีมมิ่งทาง Amazon Prime Video เรื่องนี้ก็ทำเงินไปได้ราวๆ 23 ล้านเหรียญฯ ซึ่งถือว่ามากกว่าทุนร่วมเท่าตัว

จะว่าไป ท่ามกลางกระแสหนังรางวัลอันดุเดือด American Fiction ก็ถือเป็นหนังม้าตีนปลายที่เพิ่งมาเข้าโค้งอยู่ในสายตาคนดูและนักวิจารณ์เอาช่วงท้ายปี และได้รับคำชมในฐานะหนังที่เสียดสีสังคมอเมริกันและความ 'รู้สึกผิด' ของคนขาวที่มีต่อคนดำได้อย่างแสบคัน หนังดัดแปลงมาจาก Erasure นวนิยายปี 2001 ของ เพอร์ซิวัล เอเวอร์เร็ตต์ ที่ตั้งธงเสียดสีงานวรรณกรรมว่าด้วยคนดำในอเมริกาที่แสนจะเหมารวมและผลิตซ้ำภาพจำคนดำ

American Fiction (2023). ภาพจาก IMDb

หนังเล่าถึง ธีโลเนียส หรือ มังก์ (เจฟฟรีย์ ไรต์—ชิงนำชายยอดเยี่ยม) เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยผิวดำขี้หงุดหงิดและกึ่งจะรำคาญความ 'อ่อนไหว' ของคนต่อประเด็นเรื่องคนดำ อันจะเห็นได้จากการที่เขาถกเถียงกับนักศึกษาผู้เห็นว่าวรรณกรรมจากตอนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการค้าทาสเข้มข้นในอดีต เต็มไปด้วยการใช้ศัพท์แสงรุนแรง ขณะที่มังก์มองแค่ว่าศัพท์เหล่านั้นเป็นเรื่องของยุคสมัยที่คนรุ่นหลังต้องทำความเข้าใจต่อไป แต่ความเจ้าอารมณ์และติดจะหยามเหยียดคนอื่นอยู่ในที เขาจึงพลั้งปากพูดจาให้ตัวเองถูกมหาวิทยาลัยสั่งพักงาน เป็นเหตุให้เขาต้องระเห็จกลับไปใช้ชีวิตที่บอสตันอันเป็นบ้านเกิดชั่วคราว
 

ที่บอสตัน พี่สาวของเขาตายจากกระทันหัน ขณะที่แม่ก็ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ระยะแรกเริ่ม มังก์จึงต้องรับผิดชอบทั้งความรู้สึกของคนในครอบครัวและการเงินที่ตึงมือหนักขึ้นทุกทีเนื่องจากเสาหลักของบ้านอย่างพี่สาวจากไปแล้ว ฟาก คลิฟฟ์ (สเตอร์ลิง เค บราวน์—ชิงสมทบชายยอดเยี่ยม) น้องชายคนเล็กของบ้านก็ถังแตกจากคดีหย่าร้างเมื่อเมียจับได้ว่าเขาหลับนอนกับผู้ชาย นับแต่นั้น คลิฟฟ์จึงใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงในฐานะเกย์เจ้าสำราญ

ไม่เพียงเท่านั้น ในฐานะนักเขียน มังก์ก็พบว่าหนังสือของเขาที่พูดถึงความเป็นคนดำผ่านสายตาและแนวคิดของเขาเองกลับขายไม่ดีนัก (แถมยังโดนระบบหนังสือในอเมริกาเองเจ้ากี้เจ้าการเอานิยายของเขาไปอยู่ในหมวดประวัติศาสตร์คนดำแค่เพราะคนเขียนเป็นคนดำ!) มังก์จึงชิงชังนักเขียนอย่าง ซินทารา (อิสซา เร) หญิงผิวดำที่ We's Lives in Da Ghetto นิยายของเธอขายได้แบบ 'สุดปัง' จากการเล่าเรื่องคนดำยากจนในชุมชนแออัด การเกี่ยวพันยาเสพติดและอาชญากรรม

American Fiction (2023). ภาพจาก IMDb
 

มังก์มองว่านิยายของซินทาราเป็นสิ่งที่ฉาบฉวยและเหมารวมชีวิตของคนดำไว้ได้ตื้นเขินเหลือเกิน เขาจึงเขียนนิยายปลอมๆ ขึ้นมาเรื่องหนึ่งแบบลวกๆ ในชื่อ My Pafology เขียนโดย สแต็กก์ อาร์ ลีห์—นามปากกาที่เขาตั้งขึ้นมาเพื่อเขียนงานนี้—ว่าด้วยบทสนทนาของชายหนุ่มผิวดำ โพกผ้าดูรัก (durag) สวมทองเส้นโต และพูดด้วยสำเนียงคนดำ เขาอยู่ในลักษณะเครียดเขม็ง หวาดระแวงกลัวการปรากฏตัวของตำรวจ มือข้างหนึ่งถือปืน ก่อนที่ชายผิวดำวัยกลางคนอีกคนหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทีมึนเมา เขาเอ่ยถึงพ่อของชายหนุ่ม พูดถึงรูปร่างหน้าตาและสีผิวที่ดำเหมือนกัน ริมฝีปากหนาแบบเดียวกัน ก่อนจะเฉลยว่าเขาคือพ่อของชายหนุ่มผู้บันดาลโทสะเหนี่ยวไกปืนใส่แล้วหลบหนีตำรวจหายไป แน่แท้ว่า My Pafology ของมังก์คือเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อเสียดสีงานวรรณกรรมแบบ 'คนดำ' ที่ต้องพูดถึงคนดำผ่านเรื่องของความยากจน, การสู้ชีวิต, อาชญากรรม ฯลฯ และมังก์ก็ส่งต้นฉบับเรื่องนี้ให้บรรณาธิการโดยหวังให้เจ้า 'วรรณกรรมขยะ' ชิ้นนี้ไปจี้ต่อมขำขันอีกฝ่าย ทว่า เขาไม่เคยคิดแม้สักนิดว่าบรรณาธิการจะชอบมัน แถมฮอลลีวูดก็โปรดปรานเสียจนซื้อไปทำเป็นภาพยนตร์ในราคาหลายแสนเหรียญฯ มังก์เลยตกกระไดพลอยโจนต้องเป็น สแต็กก์ อาร์ ลีห์ นักเขียนผิวดำปริศนาที่มีประวัติเคยติดคุกมาก่อน!

American Fiction (2023). ภาพจาก IMDb

หากว่า Sorry to Bother You (2018) เล่าเรื่องของคนดำที่ต้อง 'สวมรอย' เป็นคนขาวผ่านการเลียนสำเนียงเพื่อให้ขายของได้ American Fiction ก็ทำงานในอีกมุมคือมันเล่าเรื่องของการที่คนดำต้องสวมรอยเป็นคนดำด้วยกันเอง เพราะมังก์และหนังสือที่มังก์เขียนไม่ได้เล่าเรื่องคนดำในแบบที่สังคมอเมริกาอยากฟัง มังก์รวมทั้งครอบครัวเขาต่างเป็นคนดำแบบที่อเมริกาไม่แยแส พวกเขาเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง จบการศึกษาสูง เฉลียวฉลาด และในกรณีของคลิฟฟ์ก็เป็นเกย์ที่ทำให้แม่ใจสลาย (และปฏิเสธตัวตนของเขาแม้ในยามที่เธอสมองเสื่อม)

เรื่องราวของคนดำที่อเมริกาและคนขาวสนใจคือเรื่องของผู้คนที่เจ็บช้ำ ยากจน และแค้นเคือง ดังเช่นเรื่องเล่าที่โปรดิวเซอร์จากฮอลลีวูดเล่าให้มังก์ฟังว่าหนังที่เขาสนใจจะสร้างเป็นลำดับถัดไปนั้น ว่าด้วยคู่รักผิวขาวที่ย้ายไปอยู่ด้วยกันทางตอนใต้ของประเทศและถูกผีทาสล้างแค้น! ดังนั้น สำหรับคนขาว (และนายทุน) คนดำจึงมีฐานะเป็นเพียงตัวตนไร้จิตวิญญาณที่มีหน้าที่แค่เพียงล้างแค้นหรือสร้างความรู้สึกผิดบาปให้แก่คนขาว อันเป็นสิ่งที่ฮอลลีวูดและสื่อกระแสหลักมองว่าขายได้ในโมงยามนี้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมเรื่องราวที่มังก์เขียนส่งเดชในนามของลีห์อย่าง My Pafology ที่ว่าด้วยชีวิตข้นแค้นของพ่อลูกคนดำคู่หนึ่งจึงถูกใจฮอลลีวูดนัก เพราะมันเล่าในสิ่งที่คนขาวและคนรวยไม่ได้เป็น ในที่นี้ คนทำอาจไม่ได้มีสถานะต่างอะไรจากการเป็นแค่ภาชนะในการเล่าเรื่อง และคนที่เป็นซับเจ็กต์หรือคนที่จนจริง อยู่ในสลัมจริง ก็ไม่ได้ประโยชน์โพดผลใดนอกไปเสียจากถูกหยิบฉวยส่วนเสี้ยวหนึ่งของชีวิตไปขาย

American Fiction (2023). ภาพจาก IMDb

พร้อมกันนี้ อีกเส้นเรื่องหนึ่งที่หนังเล่าคู่กันมากับชีวิตชวนเหวอของมังก์คือครอบครัวของเขา ฉากหน้าทุกคนดูรักใคร่กันดี แต่เมื่อชำแหละลึกลงไปแล้ว พี่สาวถูกบีบให้ต้องอยู่ในบอสตันไม่ได้ย้ายไปทำงานที่ไหนเพราะต้องดูแลแม่ ขณะที่ตัวเองก็ต้องเผชิญหน้ากับชีวิตคู่ที่ไปไม่รอด, โศกนาฏกรรมของพ่อที่คนทั้งบ้านดูไม่อยากเอ่ยถึง, ตัวมังก์เองที่มีท่าทีเหินห่างกับที่บ้าน เช่น เขาไม่รู้ว่าพ่อเคยนอกใจแม่ขณะที่พี่สาวและน้องชายของเขารู้มานานหลายปีแล้ว ทั้งตัวเขาเองยังออกไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่อย่างลอสแอนเจลิสและแทบไม่หวนกลับมาเหยียบบ้านเลย ตลอดจนตัวน้องชายที่เข้ากับใครแทบไม่ได้ ด้านหนึ่งเพราะคลิฟฟ์เป็นเกย์และต้องปิดบังตัวเองจากสถานะนี้มาโดยตลอดด้วยการแต่งงานกับผู้หญิง หนังฉายให้เห็น ‘ค่านิยม’ ผู้ชายแบบคนดำที่ต้องห้าวหาญ ก้าวแกร่งและเป็นนักเลงแบบเดียวกับที่ Moonlight (2016) เคยเล่าไว้ คลิฟฟ์ที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกันกับค่านิยมจึงจำต้องซุกซ่อนความเป็นตัวเองเสีย และความเจ็บปวดนี้ก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้งเมื่อแม่ปฏิเสธสถานะความเป็นเกย์ของเขา

American Fiction (2023). ภาพจาก IMDb

อย่างไรก็ดี ฉากจบของหนังก็เผยให้เห็นการประนีประนอมกันระหว่างคนขาว ไปจนถึงทุนและเรื่องเล่าของคนดำ เมื่อหนังสือที่มังก์เขียนขึ้นมาแบบส่งเดชถูกหยิบไปสร้างเป็นภาพยนตร์จริงๆ ทั้งสตูดิโอยังหวังจะส่งมันเป็นหนังชิงรางวัลปีหน้า การที่ American Fiction วางตัวเป็นหนังซ้อนหนังจึงชวนให้หัวเราะได้ขื่นๆ แต่ก็น่าเสียดายที่มันหยิบเอาศักยภาพตัวเองมาใช้ได้ไม่เต็มที่และไม่พาเรื่องไปไหน—แต่ก็อาจเป็นดังที่มังก์บอกไว้ว่า เอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าจะหนังหรือนิยายก็ไม่จำเป็นต้องมีบทสรุปจบที่แน่ชัดอะไร และ American Fiction ก็คือตัวอย่างนั้น