
แม้จะยังออกฉายได้เพียงสองภาค แต่คงยากจะปฏิเสธแล้วว่าแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Dune (2021-ปัจจุบัน) ของ เดอนีส์ วีลเนิฟ คนทำหนังชาวแคนาดานั้น ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์มหากาพย์ในระดับเดียวกันกับ The Lord of the Rings (2001-2003), Mad Max (1979-ปัจจุบัน), Star Wars (1977-2019), Avatar (2009-ปัจจุบัน) ในแง่ของความยิ่งใหญ่อลังการ การสร้างจักรวาลหรือโลกขึ้นใหม่ รวมทั้งเส้นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับปรัชญาและการเมืองโดยไม่อาจแยกขาดจากกัน
Dune เป็นงานวรรณกรรมไซไฟจากปลายปากกาของ แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต และถือเป็นหนึ่งในงานเขียน 'ต้องตาต้องใจ' คนทำหนังเรื่อยมา นับตั้งแต่ความพยายามของ อเลฆันโดร โจโรดอฟสกี ผู้กำกับหนังอว็องการ์ดชาวชิลี-ฝรั่งเศส ผู้ให้กำเนิดหนังสุดเซอร์อันลือชื่ออย่าง El Topo (1970) และ The Holy Mountain (1973) ที่ก็ต้องพับโปรเจกต์ไปเมื่องบประมาณเริ่มบานปลาย และหนังเวอร์ชั่นปี 1984 ของ เดวิด ลินช์ คนทำหนังฝันร้ายจาก Eraserhead (1977) และ Blue Velvet (1986) ที่ได้รับคำวิจารณ์แง่ลบและไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ จึงอาจจะกล่าวได้ว่า Dune ของเฮอร์เบิร์ตถือเป็น 'ด่านหิน' ของคนทำหนังเรื่อยมา และเมื่อวีลเนิฟหยิบงานวรรณกรรมดังกล่าวมาดัดแปลงเป็นหนังในชื่อเดียวกันเมื่อปี 2021 มันก็ถูกจับตามองด้วยความหวาดหวั่นตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ว่าจะไปรอดหรือไม่ และหากเข็นจนออกมาเป็นหนังได้นั้น หน้าตาหนังจะออกมาเป็นอย่างไร
และจนถึงตอนนี้ ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า Dune ทั้งสองภาคของวีลเนิฟนั้นประสบความสำเร็จ โดยภาคแรกเข้าชิงออสการ์สิบสาขาและได้รางวัลกลับมาหกสาขา ไม่ว่าจะกำกับภาพยอดเยี่ยม, ตัดต่อยอดเยี่ยมและออกแบบโปรดักชั่นยอดเยี่ยม ทั้งทำรายได้ไปทั้งสิ้น 434 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (จากทุนสร้าง 165 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ขณะที่ภาคสอง Dune: Part Two (2024) ที่กำลังเข้าโรงฉายในเวลานี้ก็ได้รับคะแนนวิจารณ์แง่ดีไม่แพ้กัน โดยหนังจับจ้องไปยังชีวิตของลูกดยุคตกบัลลังก์ พอล อะเทรดีส (ทิโมธี ชาลาเมต์) ภายหลังถูกสังหารยกครัวโดยตระกูลฮาร์คอนเนน เขากับ เจสสิกา (รีเบกกา เฟอร์กูสัน) ผู้เป็นแม่ซึ่งกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดมาได้ขณะที่ตระกูลอื่นๆ ในจักรวาลเข้าใจว่าเขาตายไปแล้ว พอลและเจสสิกาได้รับความช่วยเหลือโดยชาวเฟรเมน ชนเผ่าที่อยู่กลางทะเลทราย อันเป็นพื้นที่ซึ่งมนุษย์เผ่าอื่นไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้ ทั้งพอลและเจสสิกาจึงต้องปรับตัวอย่างหนัก ภายใต้การดูแลจาก ชานี (เซนเดย์อา) และ สติลการ์ (ฆาบิเอร์ บาเด็ม) ชาวเฟรเมนผู้มีความศรัทธาต่อพระเจ้าและคำพยากรณ์ที่ว่า จะมีผู้มาโปรดนำพาพวกเขาไปสู่อรุณรุ่งแห่งชัยชนะ
อีกด้านหนึ่ง ตระกูลฮาร์คอนเนนก็ตึงมือกับการต่อต้านจากเผ่าเฟรเมน การทุ่มกำลังรบในทะเลทรายอันเป็นเสมือนบ้านของเฟรเมนทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังไปเปล่าดาย ความหวังจึงตกอยู่ที่ เฟย์ด-รอธา (ออสติน บัตเลอร์) หลานชายของผู้นำที่มีลักษณะวิปริตเต็มขั้น ในการจะนำทัพไปบดขยี้เฟรเมนและกอบกู้ชัยชนะกลับมาให้ตระกูลฮาร์คอนเนน พร้อมกันกับที่เหล่าเฟรเมน รวมทั้งพอลและเจสสิกา เดินทางลงใต้ซึ่งกลายเป็นการรวบรวมกองกำลังขนาดใหญ่เพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับจักรวรรดิในที่สุด
ความ 'มหากาพย์' เหล่านี้คือสิ่งที่ตราตรึงและทำให้หลายคนกลายเป็นแฟนหนังสือของเฮอร์เบิร์ต เพราะมันไม่เพียงแต่สำรวจชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่มันยังพูดถึงสงครามและความศรัทธาที่หลายครั้งแนบเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไม่อาจแยกขาด ตลอดจนการที่ตัวงานวรรณกรรมรับเอาอิทธิพลจากอาหรับ, ตะวันออกกลาง, และอิสลามเด่นชัด ความเป็นมนุษย์กับความเชื่อและความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ขาดในจักรวาลของเฮอร์เบิร์ต และเห็นได้ชัดว่าวีลเนิฟก็พยายามเล่าประเด็นเหล่านี้อย่างระมัดระวังและตั้งใจอย่างที่สุด ทว่า นี่ก็อาจเป็นจุดอ่อนของหนังด้วยเช่นกัน
กล่าวให้ชัด Dune: Part Two เต็มไปด้วยเงื่อนไขและด่านยากมากมายในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ข้อแรกคือมันยังต้องทำหน้าที่เชื่อมโยงกับภาคแรกเพื่อปูเส้นเรื่องเก่า ไม่ว่าจะชะตากรรมของพอลก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่และชานีก็ดี ข้อสอง หน้าที่ใหญ่ของหนังคือการฉายให้เห็นพัฒนาการของตัวละครพอล จากเจ้าชายคนนอกที่ไม่ได้เป็นชาวเฟรเมน ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคนรอบตัว—ทั้งพูดภาษาเฟรเมน ทั้งหัดต่อสู้และหัดขี่หนอนทะเลทรายซึ่งกล่าวกันว่ามีแต่ชาวเฟรเมนเท่านั้นที่ขี่ได้—เท่ากันกับที่เขาก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็น ลีซาน อัล-ไกอีบ หรือคนนอกผู้มาโปรดตามความเชื่อของสติลการ์ ทั้งก็ยังต้องให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพอลกับชานีที่งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ในดงทะเลทราย ข้อสาม หนังยังต้องพาคนดูสำรวจความขัดแย้งของเหล่าตระกูลใหญ่ จึงต้องมีเส้นเรื่องระหว่างจักรพรรดิและบ้านฮาร์คอนเนน กับอีกเส้นเรื่องหนึ่งที่พูดถึงการกลับมาของตัวละครเก่าๆ ในภาคที่แล้ว เพื่อที่ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่เส้นเรื่องสำคัญที่จะเป็นสะพานทอดไปยังภาคที่สาม คือการถือกำเนิดขึ้นของสงครามศักดิ์สิทธิ์
การต้องทำให้เส้นเรื่องเหล่านี้ปรากฏในหนัง—และไล่ระดับความสำคัญให้แม่นยำ—ก็ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แผลใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่ว่าพอลพยายามดิ้นรนทำทุกทางเพื่อไม่ให้สถานการณ์เป็นไปตามนิมิตที่เขาเห็น ซึ่งมีแต่คนล้มตายมหาศาลจากการนำทัพของเขา และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้งตามคำทำนายที่สติลการ์อ้างอิงถึงตลอดทั้งเรื่อง เมื่อเจสสิกาดื่มยาพิษเข้าไปและต้านทานได้ เขาก็ชิงปฏิเสธว่าไม่ใช่เพราะหล่อนเป็นผู้วิเศษมาจากไหน แต่เป็นเพราะมีวิชาถอนพิษขั้นสูง หรือเมื่อครั้งที่สติลการ์พยายามอ้างถึงคำพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์ พอลก็มักปฏิเสธกลายๆ และโดยเฉพาะท่าทีการไม่อยากลงไปทางใต้พร้อมสติลการ์และชาวเฟรเมนอื่นๆ เนื่องจากตามนิมิตของเขาแล้ว เมื่อเขาลงใต้ สงครามใหญ่จะเกิดขึ้น พอลจึงทุ่มเถียงกับแม่ผู้ปรารถนาจะออกเดินทางไปทางใต้อย่างสุดกำลัง และถึงขั้นระเบิดอารมณ์ใส่คนใกล้ตัวที่พยายามโน้มน้าวให้เขาออกเดินทาง สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินมากว่าหนึ่งในสามของเรื่อง แต่แล้วบทเขาจะออกเดินทางไปใต้ เขาก็ตกลงใจไปโดยดีและรวดเร็ว ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นปัญหาอันเกิดจากการตัดต่อกระชั้นไป หรือเป็นที่บทซึ่งเล่าได้ไม่แม่นยำพอ
กระนั้น หนังทำให้ความคลุมเครือระหว่าง 'ความบังเอิญ' กับความเป็นไปได้ที่พอลจะเป็น 'พระผู้ไถ่' กลายเป็นหัวใจสำคัญของหนัง และเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ตัวละครก้าวผ่านไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่งของชีวิต เพราะการฟื้นคืนจากความตาย (ซึ่งดูจะเป็นองค์ประกอบหลักของความเชื่อใดๆ) หรือการมีพื้นเพมาจากคนนอก และสำแดงปาฏิหาริย์หลายต่อหลายหน รวมทั้งการเรียกหนอนยักษ์ระดับปรากฏการณ์มาเป็นพาหนะอย่างที่แม้แต่ชาวเฟรเมนบางคนอาจเรียกไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้ทั้งตัวละครอื่นๆ และแม้แต่คนดูคลางแคลงใจว่าบางทีแล้วพอลอาจเป็นลีซาน อัล-ไกอีบเข้าจริงๆ และนั่นก็อาจส่งผลต่อชะตากรรมคนทั้งเผ่าหรือแม้แต่ทั้งจักรวาลได้ ซึ่งนี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนชั้นดีที่ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของตัวละคร เมื่อถึงที่สุด เราได้เป็นประจักษ์พยานการขึ้นสู่อำนาจของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่กี่ปีก่อน เขายังสนใจจะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ นอกโลก และยังต้องให้แม่คอยสอนวิชาซ้ำๆ มาสู่การเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่พร้อมพาคนนับล้านไปสู่สมรภูมิ
สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือการแสดงของนักแสดงนำในเรื่อง ทิโมธี ชาลาเมต์ ในฐานะตัวละครหลักที่เป็นหัวใจสำคัญและเป็นบท 'ใหญ่' ที่ต้องแบกหนังไปตลอดเกือบสามชั่วโมง กับการแสดงอันแสนละเมียด ฉายให้เห็นพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มไปสู่การเป็นนักรบ โดยเฉพาะองก์สุดท้ายของหนังที่เขาผลักตัวเองไปจนสุดขอบความเชื่อเพื่อชัยชนะ กับ รีเบกกา เฟอร์กูสัน ที่ตลอดทั้งเรื่อง เธอต้องค่อยๆ กลืนกลายตัวเองจากการเป็นแม่ผู้เฝ้าประคองลูกชาย ไปสู่การเป็น 'แม่ใหญ่' ที่ปกครองคนอื่น การค่อยๆ เข้าใจถึงตำแหน่งแห่งที่ตัวเองและการไม่ลังเลจะฉกฉวยโอกาสที่ผ่านตาเข้ามา และสุดท้ายคือ ออสติน บัตเลอร์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการฉายภาพความวิปริตของเฟย์ด-รอธา ซึ่งแม้จะออกมาเพียงไม่กี่นาทีแต่ก็ไม่ใช่บทที่ง่ายดายนักเพราะต้องขับให้เห็นความคุกคามและบิดเบี้ยว เรื่อยไปจนความทะเยอทะยานบางอย่างที่ตัวละครไม่ได้เอ่ยปากพูด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ช่วยเล่าเรื่อง Dune ของวีลเนิฟและทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่ภาคแรกคือโปรดักชั่นต่างๆ จนอาจจะกล่าวได้ว่ามันทรงพลังและทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมราวกับเป็นอีกตัวละครหนึ่ง ที่คอยกระซิบบอกคนดูถึงบรรยากาศและที่ทางต่างๆ ในหนัง ไม่ว่าจะที่พักของเฟรเมนที่แห้งแล้ง ทว่าก็สงบและเปี่ยมมนต์ขลัง เครื่องจักรและเครื่องยนต์ต่างๆ ที่ช่วงชิงความสนใจจากคนดูได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัวให้เห็น เหนือสิ่งอื่นใดคือโลกของชาวฮาร์คอนเนน ที่ไม่เพียงแต่ดำทะมึน ทว่ายังน่ากลัวและคุกคามสุดขีด โดยเฉพาะฉาก 'ท้าประลอง' ที่ถ่ายทำได้สวยจนชวนใจหาย เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงการจัดแสงเงาอันแม่นยำเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผลพวงจากการเกรดสีไปสู่สีขาวดำที่ให้ความรู้สึกยะเยือกของเหล่าฮาร์คอนเนน ตลอดจนดนตรีประกอบโหยหวนจากฝีมือ ฮานส์ ซิมเมอร์ คอมโพเซอร์เจ้าเดิมที่ร่วมงานกับวีลเนิฟมาตั้งแต่ภาคแรก
ที่สำคัญคือ วีลเนิฟเป็นหนึ่งในคนทำหนังที่เข้าใจและใช้ศักยภาพของโรงภาพยนตร์ได้ครบถ้วนมากที่สุด หลายฉากในหนังจำเป็นต้องใช้ความใหญ่โต ความทึบทะมึนเพื่อเล่าเรื่องและก็มีแต่เพียงโรงภาพยนตร์เท่านั้นที่จะตอบโจทย์เช่นนี้ได้ การได้ชม Dune ในโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังที่ตราตรึงมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะมันขับเน้นเอาความคุกคาม ความขรึมขลังรวมทั้งเสียงครวญเพลงจากดนตรีประกอบเพื่อเล่าเรื่องได้หมดจด
และก็อาจเป็นอีกครั้งที่เราต้องบอกว่า วีลเนิฟ คืออีกหนึ่งคนทำหนังที่ทำให้เรายังเชื่อในพลังของภาพยนตร์ เพราะเขาแสดงศักยภาพของมันอย่างเต็มที่ผ่านหนังทุกเรื่องของเขา—รวมทั้ง Dune: Part Two ด้วย