
เมื่อเอ่ยถึงนิยามของศิลปะ ผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงศิลปะหลายคนมักจะบอกว่า ศิลปะเป็นเรื่องของความดี ความงาม ความจริง แต่เราว่าอันที่จริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา หลายต่อหลายครั้งศิลปะก็นำเสนอเรื่องในทางตรงกันข้ามกับความดี ความงาม ความจริง อย่างเรื่องของความชั่วร้ายเลวทราม ความน่าเกลียดอัปลักษณ์ ความเท็จ หรือแม้ความวิปริตผิดเพี้ยนในจิตใจของมนุษย์ได้เช่นกัน
ในตอนนี้เราจะขอกล่าวถึงศิลปินเจ้าของผลงานที่ถือได้ว่าสะท้อนความวิปริตผิดเพี้ยนและความชั่วร้ายอัปลักษณ์ในจิตใจของมนุษย์มากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า ฟรันซิสโก โกยา (Francisco Goya) หรือในชื่อเต็มว่า ฟราซิสโก โฆเซ่ เดอ โกยา อี ลูเซียนเตส (Francisco José de Goya y Lucientes) ศิลปินชาวสเปนแห่งยุคโรแมนติก ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดของสเปนในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19
เขาเกิดในเมืองฟูเอนเดโทดอส (Fuendetodos) ใกล้กับเมืองซาราโกซา ในแคว้นอารากอน (Aragon) ก่อนที่จะย้ายไปอาศัยอยู่ในเมืองซาราโกซา (Zaragoza) กับครอบครัวตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย และใช้ชีวิตวัยเด็กรวมถึงเริ่มต้นฝึกฝนเล่าเรียนศิลปะที่เมืองแห่งนี้
ตลอดอาชีพการทำงานอันยาวนาน โกยาประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะศิลปิน เขาได้รับการกล่าวขานถึงในฐานะจิตรกรชั้นครูคนสุดท้ายแห่งยุคสมัยเก่า และจิตรกรหัวก้าวหน้าคนแรกแห่งยุคโมเดิร์น โกยายังเป็นนักวาดภาพเหมือนบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยของเขา
ถึงแม้โกยาจะมีตำแหน่งเป็นจิตรกรเอกผู้ทรงเกียรติแห่งราชสำนักสเปน ที่ทำหน้าที่วาดภาพเหมือนของกษัตริย์ และเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นศิลปินนักปฏิวัติ, นักบันทึกประวัติศาสตร์, นักวิพากษ์วิจารณ์สังคม, และนักต่อต้านสงครามตัวยงอีกด้วย
ผลงานของโกยา นอกจากจะเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกรุนแรง ลึกลับ ฟุ้งฝัน ตามแบบศิลปะยุคโรแมนติกแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยแนวคิดที่ล้ำสมัยซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินในยุคต่อมาอย่างสูง และหนึ่งในผลงานอันโดดเด่นที่สุดในแนวทางนี้ของโกยาก็คือภาพพิมพ์โลหะของเขา ที่สำรวจจิตใจเบื้องลึกของมนุษย์ และแฝงประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีสังคมการเมืองของสเปนอย่างจะแจ้ง ทรงพลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานในชุด Los caprichos (ความเพ้อคลั่ง) ชุดภาพพิมพ์โลหะที่โกยาทำขึ้นในช่วงปี 1797-1798 และตีพิมพ์รวมเล่มในปี 1799 ผลงานชุดนี้เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความโง่เง่า ขลาดเขลา, ความงมงาย, ไร้ความสามารถ, และขาดไร้เหตุผลของเหล่าชนชั้นปกครองในสังคมสเปนที่เขาอาศัยอยู่ ด้วยอารมณ์ขันเชิงเสียดสีอย่างแสบสัน
หรือหนึ่งในผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของโกยาอย่าง The Third of May 1808 (1814) ที่แสดงออกถึงความทารุณโหดร้ายของสงคราม ด้วยการนำเสนอเหตุการณ์อันสะเทือนอารมณ์ในการสังหารหมู่ประชาชนโดยเหล่าทหารจากกองทัพของนโปเลียน ที่บุกเข้าโจมตีสเปนในปี 1808 ระหว่างสงครามคาบสมุทร (Peninsular War)
โกยาเปลี่ยนขนบในการนำเสนอจุดเด่นของตัวละครในภาพวาดภาพนี้ที่มักอยู่ตรงกลางภาพมาอยู่ทางด้านซ้ายของภาพ โดยให้ผู้ชมมองตรงไปยังใบหน้าของเหยื่อผู้กำลังจะถูกสังหารหมู่ขณะกำลังตื่นตระหนกและหวาดหวั่นกับความตายที่กำลังคุกคาม โดยเหล่าทหารผู้รุกรานซึ่งมองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน
เขาถ่ายทอดห้วงขณะอันน่าสะเทือนใจ ด้วยแสงเงาที่ตัดกันอย่างเข้มข้นรุนแรง ในจุดที่สว่างไสวที่สุดเป็นภาพของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนผู้หวาดกลัว สายตาจ้องมองไปยังเหล่าศัตรูที่กำลังเล็งปืนหมายเอาชีวิตพวกเขา สองมือชูขึ้นเหนือหัวคล้ายกับยอมจำนน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีท่าทางราวกับพระเยซูกำลังถูกตรึงกางเขน บนมือขวาของเขายังปรากฏร่องรอยที่ดูคล้ายกับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) ซึ่งดูเหมือนกับว่าโกยาเปรียบภาพการสังหารหมู่ครั้งนี้กับการพลีชีพเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ของพระเยซูก็ไม่ปาน
ภาพวาดของโกยาภาพนี้ แหวกขนบของภาพวาดแบบประเพณีทางศาสนาและภาพวาดสงครามตามแบบแผนอย่างสิ้นเชิง ผลงานชิ้นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพวาดแห่งยุคสมัยใหม่ภาพแรก และเป็นผลงานศิลปะที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติในทุกแง่มุมของการวาดภาพเลยก็ว่าได้
ภาพวาดภาพนี้ส่งอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังมากมาย อย่างเช่น ภาพวาด Massacre in Korea (1951) ของ ปาโบล ปิกัสโซ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพวาดต่อต้านสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปิกัสโซอย่าง Guernica (1937) อีกด้วย
แต่ผลงานที่ถูกยกให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซที่สุดของโกยา คือภาพวาดชุด Black Paintings (Pinturas Negras) (1819-1823) ชุดภาพวาด 14 ภาพ ที่โกยาวาดขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิต ในช่วงราวปี 1819-1823 โกยานำเสนอเนื้อหาอันรุนแรง มืดมน หลอนหลอก ที่สะท้อนความหวาดกลัวต่อความวิกลจริตของตนเอง และมุมมองอันสิ้นหวังที่มีต่อมนุษยชาติอย่างทรงพลัง
โดยในช่วงวัยชรา โกยามีอาการหูหนวกสนิทจากอาการป่วย และต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากการรักษา ประสบการณ์นี้ทำให้เขาตั้งคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับความตายของตัวเอง เขาปลีกตัวจากสายตาของสาธารณชนไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวที่บ้านในกรุงแมดริด ที่มีชื่อว่า Quinta del Sordo หรือ House of the Deaf Man (บ้านของชายหูหนวก) ที่ตั้งชื่อตามเจ้าของเดิมที่หูหนวก (บังเอิญว่าโกยาเองก็หูหนวกด้วยเหมือนกัน)
ในช่วงปี 1819-1823 ท่ามกลางห้วงขณะของความป่วยไข้ ผนวกกับประสบการณ์อันเลวร้ายที่ได้รับในช่วงเวลาของสงคราม และความสิ้นหวังกับสังคมรอบข้างโดยสิ้นเชิง โกยาวาดภาพสีน้ำมันจำนวน 14 ภาพ ลงบนผนังปูนปลาสเตอร์ของบ้านโดยตรง โดยไม่ได้ตั้งใจนำออกแสดงต่อสาธารณชนแต่อย่างใด ไม่มีใครรู้ว่าโกยาวาดภาพเหล่านี้ขึ้นมาด้วยความคิดหรือความหมายอะไร เขาไม่ได้เขียนถึงผลงานเหล่านี้ในบันทึกหรือจดหมายที่ไหน และไม่ได้ตั้งชื่อผลงานเหล่านี้ด้วยซ้ำ โกยาตั้งใจวาดภาพเหล่านี้ให้เป็นผลงานส่วนตัวของเขาอย่างแท้จริง
ภาพวาดชุดนี้มีเนื้อหามุ่งเน้นในการแสดงอารมณ์หวาดผวา, ความหวาดกลัว, ความชั่วร้าย, อัปลักษณ์, ความยากจนข้นแค้น, ความป่วยไข้, ทุกขเวทนา, และความวิปลาสวิปริตผิดเพี้ยนที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจมนุษย์ ผลงานชุดที่ถูกเรียกขานว่า Black Paintings ชุดนี้ ได้รับการตั้งชื่อในภายหลังโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะ และได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพวาดที่สะท้อนความเสื่อมโทรมทั้งทางร่างกายและจิตใจของโกยา ทั้งยังแสดงออกถึงความหวาดกลัวในส่วนลึกที่สุดและฝันร้ายอันมืดมนหดหู่ที่สุดในใจของเขาออกมาได้อย่างทรงพลังยิ่ง
ในราวปี 1874 หรือ 50 ปี หลังจากที่โกยาเสียชีวิต ภาพวาดเหล่านี้จึงถูกเลาะออกจากกำแพงลงมาติดบนผืนผ้าใบ โดย บารอน เอมิลล์ โบมอน เดลอนเจอร์ (Baron Frédéric Émile d’Erlanger) นายธนาคารและกงสุลชาวเยอรมัน ผู้ซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ หลายภาพเกิดความชำรุดเสียหายจากการถูกเลาะออกจากกำแพง ทำให้มีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จนนักประวัติศาสตร์ศิลปะบางคนกล่าวว่า สิ่งที่เหลืออยู่คือความพยายามอย่างยิ่งยวดในการเก็บรักษาสำเนาหยาบๆ ของสิ่งที่โกยาเคยวาดเอาไว้ ทั้งผลกระทบจากกาลเวลา และความเสียหายในการโยกย้ายภาพบนผนังปูนปลาสเตอร์ไปติดลงบนผืนผ้าใบ ทำให้ภาพงานส่วนใหญ่ได้รับความเสียหาย สูญเสียสีสันและรายละเอียดสำคัญไปอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น ภาพวาดชุดนี้ก็ยังเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกศิลปะ โดยปัจจุบันภาพวาดทั้ง 14 ภาพ ถูกจัดแสดงเป็นคอลเลกชั่นถาวรอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ปราโด (Museo del Prado) กรุงมาดริด ประเทศสเปน
ภาพวาดในโทนสีมืดหม่น ทึมเทา จำนวน 14 ภาพ ที่เต็มไปด้วยความมืดมน หดหู่ โหดร้ายทารุณ กับตัวละครอันแปลกประหลาด พิลึกพิลั่น ลี้ลับ ไร้ตรรกะที่มาที่ไป และน่าสยดสยองพองขน
หนึ่งในภาพวาดที่โดดเด่นที่สุดในจำนวนนี้ก็คือ ภาพวาด El Gran Cabrón/Aquelarre หรือ Witches' Sabbath (1819-1823) (พิธีชุมนุมของแม่มด) ภาพวาดของแม่มดที่เข้าร่วมพิธีชุมนุมเพื่อบูชาจอมปีศาจซึ่งอยู่ในรูปร่างของแพะดำกำลังร่ายมนต์ต่อหน้ากลุ่มผู้หญิงที่น่าจะเป็นกลุ่มแม่มด จอมปีศาจในภาพปรากฏเป็นแค่เงาดำทะมึน ให้ความรู้สึกลี้ลับ ฝีแปรงอันหยาบกระด้างรุนแรง และแสงเงาอันจัดจ้าน สร้างความรู้สึกอันน่าสยดสยองให้ตัวละครแม่มดผู้มีรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึงในภาพ เดิมทีภาพนี้มีความยาวกว่าในปัจจุบัน แต่เสียหายจากการเคลื่อนย้ายภาพจากผนังลงไปติดบนผืนผ้าใบ
ถึงแม้จะไม่มีใครรู้ถึงความหมายและเนื้อหาของภาพ แต่นักประวัติศาสตร์ศิลปะก็สันนิษฐานว่าโกยาวาดภาพนี้ขึ้นเพื่อเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การสอบสวนทรมานและการสังหารผู้หญิงในการล่าแม่มดของหน่วยงานศาสนา ในช่วงฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ของสเปน ที่ศาสนจักรและราชวงศ์ใช้อำนาจกดขี่ไล่ล่าผู้คนนอกศาสนา—โดยเฉพาะผู้หญิง—อย่างโหดเหี้ยมทารุณ
แต่ภาพวาดที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักที่สุดในชุด Black Paintings นั้นมีชื่อว่า Saturno devorando a su hijo หรือ Saturn Devouring His Son (1819-1823) (แซเทิร์นกัดกินบุตรชายของตัวเอง) ภาพวาดชิ้นสำคัญอันสุดสยดสยองของเขาภาพนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานเทพปกรณัมกรีกโบราณ ของเทพไททันส์ ‘โครโนส’ (หรือเรียกในภาษาโรมันว่า ‘แซเทิร์น’) ผู้หวาดกลัวว่าบุตรของตนจะเติบโตขึ้นมาปล้นชิงราชบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์ตามคำทำนาย เขาจึงจับลูกๆ ของตนมากินทั้งเป็น!
ว่ากันว่าโกยาอาจได้แรงบันดาลใจในการวาดภาพนี้จากภาพในปี 1636 ที่มีชื่อเดียวกันของจิตรกรชาวเฟลมิชผู้มีชื่อเสียงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 อย่าง ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens)
ที่น่าสนใจก็คือมีการค้นพบว่ารายละเอียดของภาพบางส่วนได้เสียหายไปมาก และส่วนที่เสียหายไปนั้น เดิมทีมีหลักฐานว่าเป็นส่วนล่างของภาพที่เป็นรูปอวัยวะเพศชายที่กำลังแข็งตัว (พูดง่ายๆ ว่า ‘จู๋โด่’ อยู่นั่นแหละ) ซึ่งแปลว่าเทพแซเทิร์นในภาพนั้นเกิดอารมณ์ทางเพศในขณะที่กำลังฆ่าและกินลูกตัวเองอยู่! ซึ่งพ้องกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (ที่ถือกำเนิดในภายหลัง) ที่ว่า ‘พ่อ’ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ทำลายด้วยเช่นกัน
มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงที่วาดภาพนี้โกยาป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (น่าจะเป็นโรคซิฟิลิส) ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ลูกที่เกิดมามีปัญหาทางสุขภาพและเสียชีวิตไปหลายคน ภาพวาดนี้เลยเหมือนเป็นการแสดงความรู้สึกเสมือนว่าเขากินลูกตัวเองจากความป่วยไข้ของเขานั่นเอง
นอกจากภาพวาด Saturn Devouring His Son ของโกยา จะเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลังจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับวัฒนธรรมป๊อปอย่าง การ์ตูน ผ่าพิภพไททัน (Attack on Titan) หรือตัวละครอสุรกายกินคนอันน่าสยดสยองในภาพยนตร์ Pan's Labyrinth (2006) ของ กิเยร์โม เดล โตโร (Guillermo del Toro) อีกด้วย
ในช่วงบั้นปลายชีวิต โกยาอัปเปหิตัวเองออกจากประเทศสเปน เกษียณตัวเองไปอยู่ในแคว้นบอร์โด ประเทศฝรั่งเศส และทำงานชุดสุดท้ายของชีวิตที่นั่น จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1828 ในวัย 82 ปี ร่างของเขาถูกฝังอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ก่อนที่จะถูกย้ายไปฝังในโบสถ์ St. Anthony of La Florida ในกรุงมาดริด ที่ที่เขาเคยฝากผลงานทิ้งเอาไว้ เหลือไว้แต่แรงบันดาลใจจากสุนทรียะแห่งความสยดสยอง ส่งผ่านมาสู่คนทำงานสร้างสรรค์รุ่นหลัง
ข้อมูลอ้างอิง