27 เมษายน 2567 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จัดประชุมใหญ่สามัญพรรค ประจำปี 2567 โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห) ส.ส.และอดีต ส.ส. รวมถึงตัวแทนสาขาพรรคทั่วประเทศเข้าประชุมหลายรร้อยคน
โดยนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขข้อบังคับพรรค โดยแก้ไขระยะเวลาการเป็นสมาชิกที่จะมาดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือหัวหน้าพรรค ลดระยะเวลาจาก 2 ปี เหลือ 5 ปี และการยกเว้นข้อบังคับ เดิมกำหนดสัดส่วน 3 ใน 4 ขององค์ประชุมใหญ่ แก้ไขเป็นมากกว่ากึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของสมาชิกพรรค
นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขสัดส่วนคะแนนเลือกคณะกรรมการสรรหาและคณะกรรมการบริหารพรรค เดิมกำหนดสัดส่วน สส. 70% กรรมการอื่น 30% ปรับเปลี่ยนเป็นสัดส่วน สส. 40% และสัดส่วนกรรมการบริหารอื่น 20% และมีการเพิ่มสัดส่วนคณะกรรมการอื่นๆ ทั้งหมด 40% โดยที่ประชุมให้ความเห็นชอบมติเอกฉันท์
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรค โดยจะตั้งคณะทำงานเกี่ยวกับสมาชิกพรรคและสาขาพรรค ตัวแทนพรรคจะเข้าไปดูแลโดยตรง ซึ่งจะมีการเดินทางไปพบปะชี้แจ้งให้ความรู้แก่สมาชิกพรรคทั่วประเทศหลังจากนี้
นายเฉลิมชัย ได้เปิดเผยว่า ในการพูดคุยกับสมาชิกพรรค ประชาธิปัตย์อยู่ได้ด้วยความสุจริตและจะยึดหลักเพื่อจะนำพาประชาธิปัตย์เดินไปข้างหน้า พร้อมสร้างเอกภาพในพรรค และย้ำว่าการปรับปรุงพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีการปรับปรุงทั้งศูนย์ฯ และเทคโนโลยี พร้อมเปิดเผยว่ามีการประสานงานตลอดที่จะดึงคนประชาธิปัตย์รุ่นเก่ากลับเข้ามา เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีมาเรื่อยๆ
นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่งได้มาพบเมื่อวานนี้แต่ยังไม่ได้มอบหมายงานอะไร และแจ้งว่าสามารถร่วมงานกับประชาธิปัตย์ได้ โดยจะหางานที่เหมาะสมให้ภายหลัง
ปลุกใจสมาชิก หลังกลับเป็นเสาหลักของบ้านเมืองอีกครั้ง
พร้อมกันนี้นาย เฉลิมชัย ยังได้กล่าวระหว่างพบปะสมาชิกพรรค ว่า ได้เริ่มต้นด้วยการขอบคุณ นายนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และสส. ของพรรค ที่ทำให้การประชุมเดือนหน้าอย่างราบรื่น พร้อมยืนยันว่า สมาชิกคณะกรรมการบริหารพรรคจะนำทุกข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรค ไปพูดคุยกัน เพื่อปรับปรุงพรรคประชาธิปัตย์ให้ทันสมัยต่อเหตุการณ์ สถานการณ์ปัจจุบันของโลก
ทั้งนี้ยืนยันว่า ตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรับรองคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ วันที่ 3 มกราคม ในช่วงเวลาเกือบสี่เดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารได้ประชุมทำงานแข่งกับเวลา และยืนยันว่าวันนี้ประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดด้วย หลักการและอุดมการณ์เหมือนเดิม ว่าไม่เคยทำผิดทั้งต่อหน้าและรับหลัง และยึดมั่นในความเป็นประชาธิปัตย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ และย้ำว่าการฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
ตั้งศูนย์นวัตกรรมสื่อสารพรรค
โดยสิ่งที่ตนได้ดำเนินการประการแรกก็คือการตั้งศูนย์ นวัตกรรมเพื่อการสื่อสารพรรคประชาธิปัตย์ นี่คือจุดเริ่มต้นในการใช้โซเชียลมีเดีย เพื่อการขับเคลื่อนทางการเมือง เพราะสิ่งที่เราตามเขาไม่ทันหรือที่เราเสียท่า หนึ่งอย่างที่เราพูดตรงกันคือการใช้โซเชียลมีเดีย ไม่ทันเขาน้อยกว่าเขา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตั้งศูนย์นี้
โดยได้ตั้ง ดร.เอ้ "สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์" ร่วมกับผู้ชำนาญการที่จะรับผิดชอบตรงนี้ ซึ่งสิ่งที่เราทำอย่างแรกคือการ เปิดสมัครสมาชิก ผ่านระบบออนไลน์ออนไลน์ ซึ่งถือเป็นพรรคการเมืองแรกของประเทศไทยที่สามารถทำได้ สะท้อนเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัวแล้ว นี่คือก้าวแรกที่เราขยับเพื่อจะให้เขารู้ว่า เราจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนกับหลายคนที่ไม่ได้ทำงาน แต่กลับมาด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ ตนก็ไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยมีอะไรให้เค้าติดค้างกันบ้างเลยหรือ
"สิ่งที่อยากจะเห็นในทุกวันนี้คือความมีเอกภาพของพรรคประชาธิปัตย์ และผมขอยืนยันกับสมาชิกพรรคว่าจะไม่ทำผิดทั้งต่อหน้าและรับหลัง ผมมั่นใจว่าผมเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง" นายเฉลิมชัยกล่าว
ตั้งคณะกรรมการดูแลสมาชิกพรรคทั่วประเทศ
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนที่สองที่ได้เริ่มทำ คือการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค เพื่อกำหนดทิศทางเป้าหมายที่ชัดเจน โดยเชิญอดีตสส. และอดีตผู้บริหารของพรรคเข้ามาร่วม เพื่อกำหนดแนวทางขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงจะมีการตั้งคณะทำงาน เพื่อที่จะดูแลสมาชิกพรรคทั่วประเทศ และยังมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมืองที่จะไปเรียนเชิญผู้อาวุโสหลายท่านให้มาร่วมกันวิเคราะห์ สถานการณ์การเมือง อีกด้วยเป็นต้น
ย้ำทุกการตัดสินใจยึดองค์กรไม่มีเรื่องส่วนตัว
ทั้งนี้การขับเคลื่อนพรรคทั้งหมดในฐานะหัวหน้าพรรค ผมจะพาพรรคประชาธิปัตย์ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยจะไม่รีบก้าว และยึดหลักการ กฎหมายเป็นหลัก ขอให้ทุกคนเชื่อมั่น ว่าทั้งชีวิตผมมอบให้พรรคประชาธิปัตย์ และต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นเสาหลักของบ้านเมือง เพราะอย่างหนึ่งที่พรรคประชาธิปัตย์พูดได้อย่างเต็มปาก คือการซื่อสัตย์สุจริต ผมยึดหลักนี้มาทั้งชีวิต และย้ำว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ยึดหลักนี้ ก็คงไม่สามารถอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ และเป็นหัวใจที่พรรคประชาธิปัตย์จะ เดินไปข้างหน้าได้
"ผมไม่เชื่อว่าพรรคไหนไม่กลัวพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเรามีความเป็นเอกภาพ ผมยืนยันจะนำพรรคเดินไปข้างหน้าและจะไม่ทำเรื่องเสียหาย และเสื่อมเสีย ทุกการตัดสินใจจะยึดสถาบันและองค์กรนี้เป็นหลัก ไม่มีเรื่องส่วนตัว ขอให้ทุกคนเป็นกำลังหลักที่ตนจะขยายฐานสมาชิกพรรค " นายเฉลิมชัย กล่าว