นพ.มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย กล่าวว่า นายกฯ พูดตรงไปตรงมาไม่ต้องแปลความอะไรอีกแล้ว เกมจบแล้วสำหรับสมเด็จช่วง ลืมได้เลยกับการที่จะมีการเสนอสมเด็จช่วงขึ้นเป็นพระสังฆราช องค์ที่ 20
เรื่องคดีความคงไม่มีใครผลักดันให้สมเด็จช่วงไปให้การที่ดีเอสไอ แล้วก็คงจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบฐานผิดวินัย กรณีเช็คสั่งจ่ายซื้อรถ ที่มีลายเซ็นของท่านเอง และสมุดครอบครองรถก็เป็นนามของท่าน นอกจากนี้ยังมีคดีโอบอุ้มพระธัมมชโย และเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทับซ้อนในวัดพระธรรมกาย และยังมีเรื่องไม่สวดพระคาถา 2 พระคาถาในวันฉัตรมงคล ซึ่งเป็นเรื่องค้างคาใจชาวพุทธเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีเรื่องผิดพระธรรมวินัยยังคงจำได้ ดีเอสไอเข้าไปหาเพื่อซักถาม แต่ไม่ได้รับข้อมูลใดๆ เลย ดังนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ขบวนการ แต่อยู่ที่ตัวสมเด็จช่วง
การที่จะกราบบังคมทูลให้สมเด็จช่วงเป็นสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 จะกลายเป็นระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ดังนั้น นายกฯ จึงไม่ทำ
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่า สมเด็จช่วงเคลียร์ไม่ได้ แล้วท่านเองก็ไม่อยากจะทำ ผมเข้าใจ เพราะท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ผม ท่านจะไม่สู้แบบทวนกระแส สู้แล้วเสียเปรียบ แล้วทำให้เกิดผลเสีย ท่านจะไม่เอา ผมไม่เชื่อว่า เจ้าคุณประสารที่ตั้งเงื่อนไข ยื่นเงื่อนไขให้นายกฯ ด้วยการจะนำพระสงฆ์มากดดัน ผมคิดว่าจะมีการเบรกกันเอง เพราะขณะนี้สมเด็จช่วงอยู่แบบสบายๆ แล้ว อายุก็มากแล้ว เวลาเดินก็ต้องพยุง ถึงแม้จะปฏิบัติหน้าที่สังฆราช แต่ไม่ใช่สังฆราชก็ตาม
หากมีการพิสูจน์แล้วว่า สมเด็จช่วงผิด ก็จะต้องจับสึก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อับอายไปทั่วโลก คงไม่มีใครอยากเห็นภาพนั้น หากผมเป็นพนักงานสอบสวนก็คงอึดอัดใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก็อึดอัดใจ ดังนั้น โดยส่วนตัวแล้วคิดว่า สมเด็จช่วงคงไม่ให้ใครมาช่วยผลักดัน ขออยู่อย่างสงบดีกว่า หากมีใครดัน สมเด็จช่วงก็คงจะออกมาเบรกเอง
ในอดีตไทยเราก็เคยมีช่วงว่าง ไม่มีสมเด็จพระสังฆราชมานานหลายปี ก็อยู่กันได้ ไม่ได้ทำให้ศาสนาเสื่อมลงแต่อย่างใด มีผู้ปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว เรื่องที่ทำให้เสียหายก็คือเรื่องที่จะทำให้บ้านเมืองแย่ลงต่างหาก เกิดมีรัฐซ้อนรัฐขึ้นมา หรือมีคนอยู่เหนือกฎหมายอย่างนี้ต่างหากที่ต้องจัดการ
สิ่งที่เกิดขึ้น การดำเนินคดี เป็นการประวิงเวลาหรือไม่นั้น สำหรับผมคิดว่า สมเด็จช่วงก็คงไม่อยากให้ดำเนินคดีเร็ว ไม่อยากเข้ากระบวนการสอบสวน ไม่อยากให้ใครมาที่วัดอีกแล้ว พอแล้ว ดีเอสไอมาครั้งเดียวพอแล้ว ในมุมมองของผมการที่นายกฯ พูดนั้น ถือว่า เกมจบ ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย
หลายคนที่ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้อง นั่นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ ที่ออกมาเป็นเพราะเขาคิดว่า มหาเถรสมาคมทำถูกแล้ว การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาถูกต้องแล้วพระเมธีธรรมาจารย์ หรือ "เจ้าคุณประสาร" เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มเดิม ข้อมูลเดิม วิธีการเดิม เป็นกลุ่มที่พยายามสกัดกั้นการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งถ้าเป็นปัญหาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ก็คงจะไม่มีปัญหาอย่างนั้น แต่ ณ เวลานี้มีพระ 1 รูป โยม 1 คน เป็นเครื่องมือให้เขาในการสร้างปัญหา สร้างสถานการณ์ เพื่อสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแล้วก็บอกว่า มีมลทิน มีความขัดแย้ง ไม่มีความสง่างามที่จะเสนอนามให้เป็นพระสังฆราช
กรณีเรื่องรถหรู ถ้าเป็นปัญหาทางภาครัฐควรจะมีข้อมูลได้แล้ว ไม่ว่า ดีเอสไอ หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญบรรทัดฐานการตัดสินก็ควรจะมีอยู่ เช่นดาราดังคนหนึ่งซื้อรถหรูมาขับ แต่พอถูกดำเนินคดี ก็บอกว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีเจตนา ก็คืนรถไปก็จบ แต่กรณีของสมเด็จช่วง ห่างไกลจากนั้น เป็นรถโบราณที่นำมาไว้ในพิพิธภัณฑ์ อย่างนี้จะให้เข้าใจว่าอย่างไร
ถือว่า มีวาระส่วนตัว วาระซ่อนเร้น บางคนบางท่านมีปัญหากับวัดเดิมที่ตนเองเคยสังกัดอยู่ ก็นำเรื่องของส่วนตัวมาเป็นปัญหาส่วนรวม
ทำไมดีเอสไอสอบแล้วสอบอีก แต่เรื่องก็ยังอยู่ที่ดีเอสไอ ไม่ไปถึงไหน ใช้เวลานานมากเกินไป ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ อย่าไปเล่นการเมืองกับท่าน อย่าสร้างมลทินให้ท่านเลย ท่านอายุ 90 กว่าแล้ว เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ
คมชัดลึก 12/7/59 ปัญหาไม่จบ ไม่ทูลเกล้าฯ ตั้งสังฆราช?ผู้ร่วมรายการดร.นพ.มโน เลาหวณิช อดีตศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย
สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาฯ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ