svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สัปดาห์หน้ารู้ผล หมายเรียก "พานทองแท้" คดีฟอกเงิน

08 กันยายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

DSI เร่งส่งมติพนักงานสอบสวนให้ปปง.ร้องทุกข์ "โอ๊ค"กับพวกฟอกเงินก่อนออกหมายเรียกเข้ารับข้อหา คาดสัปดาห์หน้ารู้ผล ตั้ง 3 ประเด็น แยกโหวตผิด-ไม่ผิด เป็นรายประเด็น

8 ก.ย. 60 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยถึงการสอบสวนคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มกฤษดาธานนท์ ว่า พนักงานสอบสวนกำลังเร่งจัดส่งมติที่ประชุมให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อส่งผู้แทนเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ นายพานทองแท้ ชินวัตร กับพวก ตามที่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายการฟอกเงิน คาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า

อธิบดีดีเอสไอ กล่าวชี้แจงถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับมติให้คืนรถของกลางให้กับบริษัทผู้นำเข้าบางแห่ง ยืนยันว่ารถในบัญชีที่ตรวจสอบพบความผิดแล้ว ดีเอสไอไม่คืนของกลางแน่นอน รวมถึงรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาก็ไม่อยู่ในข่ายที่ให้คืนของกลางเช่นกัน ในคดีนี้ดีเอสไอยึดรถเป็นของกลางกว่า 100 คัน ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีในข้อหาสำแดงเท็จ ส่วนรถที่มีมติให้คืนของกลางจำนวน 38 คัน เป็นรถนอกบัญชีที่ยังไม่มีหลักฐานใช้ดำเนินคดี ดังนั้น การอายัดรถยนต์ไว้เป็นเวลานานอาจเกิดความไม่เป็นธรรม คณะพนักงานสอบสวนจึงมีมติให้คืนของกลาง หลังจากนี้หากได้รับข้อมูลหลักฐานจากประเทศอังกฤษแล้วพบว่ามีการสำแดงราคาเท็จก็สามารถดำเนินคดีและเรียกคืนภาษีกับบริษัทผู้นำเข้าได้ ในส่วนของรถยนต์ที่คืนไปสามารถซื้อขายได้ตามปกติ โดยผู้ซื้อจะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เพราะเป็นการซื้อโดยสุจริต ที่ผ่านมาดีเอสไอก็ย้ำมาตลอดว่าตั้งเป้าดำเนินคดีกับผู้นำเข้าที่มีเจตนาสำแดงราคานำเข้าต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเท่านั้น

แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนที่คดีฟอกเงินธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอัยการร่วมมีข้อถกเถียงในประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการแจ้งข้อกล่าวหาในคดีฟอกเงินกับนายพานทองแท้และพวก โดยส่วนหนึ่งมีความเห็นว่า แม้คดีจะมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินในคดีทุจริต ซึ่งเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้อง เนื่องจากผู้ที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินที่ได้รับอนุมัติเงินก็จากธนาคารกรุงไทย นำหลักฐานมาชี้แจงที่มาของการรับโอนเงินเพื่อนำไปซื้อหุ้นและร่วมทุนทางธุรกิจ ซึ่งต่อมาได้มีการบอกเลิกและคืนเงินไปแล้ว แต่สุดท้ายคณะพนักงานสอบสวนก็มีมติว่าสามารถดำเนินคดีในข้อหาฟอกเงินได้ เพราะพบหลักฐานในการกระทำความผิดเกินกว่าครึ่ง โดยในที่ประชุมได้แยกประเด็นสำคัญในการสอบสวนออกเป็น 3 ประเด็นหลัก เพื่อให้พนักงานสอบสวนได้ลงมติชี้ขาดเป็นรายประเด็น

สำหรับประเด็นแรก คือ ลักษณะและพฤติการณ์แห่งคดี ซึ่งปรากฎตามข้อเท็จจริงว่าเป็นการปกปิด เปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สิน เข้าข่ายฟอกเงิน โดยประเด็นนี้พนักงานสอบสวนมีมติเอกฉันท์ว่ามีความผิด ประเด็นที่ 2 มีใครเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดบ้าง ในวงเงิน 10 ล้านบาท มีนายพานทองแท้ เกี่ยวข้องเพียงคนเดียว ส่วนวงเงิน 26 ล้านบาท มีนายวันชัย หงส์เหิน นางกาญจนาภา หงส์เหิน และนางเกศินี จิปิภพ เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งประเด็นนี้มีความเห็นเสียงข้างน้อยเสนอให้ตัดนางเกศินีออก เพราะแม้จะเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้น แต่อาจไม่รู้เห็นโดยให้ลูกยืมชื่อไปใช้เล่นหุ้น อีกทั้งนางเกศินีก็มีอายุกว่า 80 ปีแล้ว ไม่น่าจะอยู่ในวัยที่จะมานั่งเล่นหุ้น ซึ่งคำให้การดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำให้การของนายวันชัย (ลูกเขย) ว่ายืมพอร์ตของนางเกศินีมาใช้เล่นหุ้น แต่พนักงานสอบสวนมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหากับทั้ง 3 ราย เมื่อรับฟังการแก้ข้อกล่าวหาแล้วอาจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องนางเกศินีก็ได้

และประเด็นที่ 3 ผู้เกี่ยวข้องกับการรับเงินมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเงินที่ได้รับมาจากกลุ่มกฤษดาธานนท์นั้นเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งความเห็นเสียงข้างมากลงมติว่ามีเจตนากระทำผิด หลังจากที่ปปง.เข้าร้องทุกข์ในคดีฟอกเงินแล้ว พนักงานสอบสวนจะมีหมายเรียกให้นายพานทองแท้กับพวกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีฟอกเงิน เพื่อเปิดโอกาสให้นายพานทองแท้กับพวก ยื่นหลักฐานแก้ข้อกล่าวหา จากนั้นคณะพนักงานสอบสวนจะประชุมเพื่อลงมติว่า หลักฐานที่ผู้ต้องหานำมาแสดงมีน้ำหนักเพียงพอที่รับฟังหรือไม่ หากไม่มีน้ำหนักก็จะสั่งฟ้องคดี ส่งสำนวนให้อัยการฝ่ายคดีพิเศษพิจารณาในชั้นต่อไป

logoline