ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช ได้ลงพื้นที่ติดตามการจัดอบรมหลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครู หลังมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินการจัดการอบรมว่าจะเกิดประโยชน์แก่ครูและนักเรียนอย่างแท้จริงหรือไม่ มีความเหมาะสมคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่า เนื้อหาการอบรมส่วนใหญ่ยังเป็นไปตามที่สถาบันคุรุพัฒนาให้การรับรอง แต่จะสามารถนำไปใช้กับการเรียนการสอนได้จริงหรือไม่ ต้องผ่านการประเมินจากครูที่เข้าร่วมอบรมและผ่านการประเมินจากผู้อำนวยการโรงเรียนอีกชั้นหนึ่ง
ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้ดูแลโครงการคูปองพัฒนาครู บอกต่อว่า รมว.ศึกษาธิการ บอกว่าในเมื่อต้องมีการพัฒนาครู ต้องเข้าใจครูก่อนว่า ขณะนี้รับงานอะไรบ้าง ซึ่งมี 3 อย่างในการปฎิรูปการศึกษาโดยผ่านครูโดยตรง
1.เคลียร์ภาระรับผิดชอบต่างๆของครู ที่อยู่กับหน้างานกับการสอนจริง คือลดภาระของการประเมิน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภายนอกและภายในโรงเรียน ภายในกระทรวงศึกษาธิการก็เช่นกัน โดยวิธีการชลอการประเมินรอบ 4 ของ สมศ.ที่จะต้องเข้าโรงเรียน เพื่อลดภาระในการทำเอกสารของครูเพื่อรอรับการประเมิน เป็นการบูรณาการโครงการต่างๆ ในสำนักทั้งหมด ของ สพฐ. ให้มีการติดตามเพียงสำนักเดียว หรือถ้าเป็นไปได้อันไหนที่มีการบูรณาการกันได้ ก็ให้หน่วยติดตามเพียงแค่หน่วยเดียว ก็จะไม่ต้องสร้างภาระในการทำเอกสารในการติดตาม หรืออยู่กับเด็กนักเรียนมากกว่า ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังดำเนินการ ซึ่งบางส่วนทำไปแล้ว 80 ถึง 90 เปอร์เซนต์
2.งานเติมอาวุธให้ครู คือให้ครูได้รับการพัฒนาตนเองโดยครูต้องเชื่อก่อนว่าถ้าครูเลือกคอร์สในการพัฒนาตนเองของเขา เขาต้องไปพัฒนาจริงได้ คือให้มองว่าต่อไปนี้สิ่งที่ต้องพัฒนา ไม่ใช่ตัวครูเองแต่เพื่อผู้เรียน จึงมีโครงการพัฒนาครูรูปแบบใหม่ครบวงจร และต้องมาดูหน่วยที่มีการพัฒนาครู มีหน่วยอะไรบ้างที่ครูต้องไปพัฒนา ก็ให้มาอยู่ในโครงการนี้ อันไหนที่เป็นเรื่องของการประชุมชี้แจงก็ให้สำนักต่างๆทำอยู่ อีกส่วนหนึ่งเรื่องของ กคศ.เป็นหน่วยที่ครูอยากจะไปยุ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับวิทยฐานะ ถือเป็นรางวัล ดังนั้นถ้า กคศ.กำหนดกรอบอะไรมา ครูจะต้องไปอบรมตามนั้น แล้วจะเป็นแนวโน้มสำคัญที่ครูจะต้องไปทำตามนั้นเพราะเป็นเรื่องของความก้าวหน้าของวิชาชีพเขา อีกหน่วยงานหนึ่งคือคุรุสภา เป็นหน่วยงานของการมีใบประกอบวิชาชีพ ดังนั้นเราเป็นวิชาชีพครูก็ต้องทำตามมาตราฐานตัวชี้วัดที่เขากำหนด ก็ต้องมีการอบรมแบบนั้น ในเมื่อมี 3 หน่วยงานมาพัฒนาครู จึงนำ 3 หน่วยงานมาคุยกัน แล้วให้ครูวิ่งในลู่เดียวกัน ก็จะไม่ต้องไปดึงครูออกจากห้องเรียน รมว.ศึกษาธิการ จึงดำเนินการอบรมพัฒนาครู เมื่อใครที่มาอบรมและพัฒนา แล้วนำไปใช้จริงกับผู้เรียน ตรงนี้ก็จะไปเชื่อมโยงเกี่ยวกับทั้ง กคศ.และคุรุสภา จึงเป็นการพัฒนาโดยผ่านทางนี้ ไม่ซ้ำซ้อนกับทางอื่น
3.สิ่งที่ครูมีความรู้แบบเต็มรายบุคคล จำทำอย่างไรให้การทำงานเกิดเป็นจริง จึงมีโครงการอีกหนึ่งโครงการที่เชื่อมโยงสร้างเครือข่าย PLC :Professional Learning Community ซึ่ง สพค.รับผิดชอบ เป็นโครงการที่รวมกลุ่มครูที่คุยกันทางวิชาชีพเพื่อพัฒนาผู้เรียนแล้วมาแชร์ประสบการณ์กัน ตรงนี้ก็จะเกิดขึ้นที่โรงเรียน เพราะหน้างานคือนักเรียนแล้วฐานคือโรงเรียน โดยมีผู้อำนวยการโรงเรียนจะรับทราบว่าครูแต่ละคนไปอบรมแล้วได้ความรู้อะไรมาแล้วผู้อำนวยการโรงเรียนจะเป็นเหมือน นวยการที่จะให้ทุกคนมีโอกาสที่จะแชร์ความรู้ที่อบรมมากับความรู้ใหม่ๆแล้วมาคุยกัน เพื่อพัฒนาผู้เรียน จึงมีการประชุมติดตามการขับเคลื่อน เพื่อให้งานทุกงานไปตามสิ่งที่มุ่งหวัง ซึ่งทีมที่มาร่วมประชุม เข้มแข็งมาก คงพบข่าวดีในเรื่องของการปฎิรูปการศึกษา เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ตรงห้องเรียนคือตรงที่สุดแล้ว
ส่วนโครงการคูปองพัฒนาครูจากข้อมูล ณ วันที่ 3 กันยายน มีครูเข้ามาประมาณ 312,000 กว่าคนเป็นตัวชี้วัดหนึ่งว่า ครูมีความสนใจในการพัฒนา อีกหนึ่งตัวชี้วัดคือครูสนใจคอร์สที่จะลงในการพัฒนายังมีอีกประมาณ 600,000 กว่าที่นั่ง ที่ครูใน 300,000 กว่าคนมาเลือกลงหลักสูตรและอีกหนึ่งตัวชี้วัดคือการเลือกลง แต่ยังไม่ได้รับการอบรม หลังจากอบรมเสร็จ จะมีแบบประเมินความพึงพอใจของหลักสูตร หลักสูตรนั้นมีประโยชน์อย่างไร มีเนื้อหาหลักสูตรคืออะไรจากนั้นจึงเข้ารับการอบรม สิ่งที่ครูจะประเมินด่านแรก คือตรงกับสิ่งที่ครูอ่านหรือไม่ จะมีลิ้งค์จากระบบส่งเข้าไปให้ เพื่อประเมินความพึงพอใจของหลักสูตร ซึ่งถ้าตามนัยยะสิ่งที่อ่านกับสิ่งที่ไปเจอตรงกันหรือไม่ จะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาจากครูประมาณ 30,000 กว่าคนที่ส่งข้อมูลมา มีทั้งชมและไม่ชม โดยเริ่มอบรมมาตั้งแต่ 20 กรกฎาคม 2560 จนถึงปัจจุบันมีประมาณกว่า 2,000 กว่าหลักสูตร 2,000 รุ่น ที่ครูเข้าอบรม มีการประเมินมาแล้วประมาณ 30,000 กว่าคน ผลการประเมินโดยเฉลี่ยเต็ม 5 ได้ 4.98 ต่ำสุด 2.1 ในส่วนที่ต่ำก็ต้องดูว่าใครที่จัด หน่วยงานไหน การคุมหลักสูตรในเนื้อหา มีสถาบันที่ตั้งเอาไว้เรียกว่า approve หรือรับรองหลักสูตร ก่อนที่หน่วยงานต่างๆจะจัดส่งเข้ามา เริ่มต้นการตั้งเกณฑ์ เกณฑ์อะไร มาจาก สพฐ. ปัญหาของ สพฐ.ครูไม่เอาความรู้ไปใช้กับผู้เรียน ดังนั้นเราต้องการจะตอบโจทย์ ตรงนี้จึงเป็นเกณฑ์ 1 ข้อ ที่ สพฐ.บอกว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้หน่วยจัดต้องสนับสนุนครูจนถึงห้องเรียนเพื่อเอาไปใช้กับผู้เรียน จึงเป็น 1 เกณฑ์ที่เราโยนให้กับทางคุรุพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ และอีก 1 เกณฑ์ต้องเป็นเกณฑ์จาก กคส.เพราะครูไปเชื่อมโยงกับวิทยฐานะ เกณฑ์ต่างๆเมื่อมารวมกันแล้วได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา หน่วยจัดก็จะต้องส่งมาตามเกณฑ์ หน่วยที่จะ approve หรือรับรองก็คือคุรุพัฒนาซึ่งอยู่ภายใต้คุรุสภา จะไม่ได้อยู่แท่งเดียวกับ สพฐ. แต่สถาบันคุรุพัฒนาจะไม่มีผลประโยชน์ใดๆเพราะไม่มีงบประมาณ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานจัดใดๆเป็นหน้าที่ส่วนกลางที่จะดูแค่ว่า หลักสุตรนี้มีคุณภาพหรือไม่ พอหลักสูตรได้รับการรับรองก็จะส่งมาที่ สพค.ที่อยู่ภายใต้ สพฐ.
สพค.มีหน้าที่ทำระบบแล้วนำหลักฐานทั้งหมดมาใส่ใน 1,460 หลักสูตรที่มีประมาณ 3,000 กว่ารุ่น จากนั้นครูก็จะแก้ระบบ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ก็จะมีประมาณ 30,000 กว่าคน สพค.เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้า เพื่อให้ครูมาเลือก อันไหนที่เหมาะกับเขา สิ่งที่ขาดๆอะไร ก็สามารถหยิบตรงนั้นมาแล้วนำมาใช้
ส่วนปัญหาที่ครูหลายคนกลัวว่าโครงการนี้จะไม่คุ้มหรือครูนำเงินไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ตรงนี้เป็นระเบียนราชการอยู่แล้ว จะต้องมีการรายงานผลทางราชการภายใน 60 วัน เมื่อครูกลับมาจากอบรมสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่สอง สัปดาห์ที่สาม สัปดาห์ที่สี่ ผู้อำนวยการโรงเรียนจะต้องติดตามแล้วกระตุ้น จนสัปดาห์ที่สี่ ลิ้งค์จะถูกส่งมาให้กับผู้อำนวยการโรงเรียนประเมินว่า ครูเอาความรู้ที่ไปอบรมมาครั้งนั้น นำมาใช้กับผู้เรียนหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งคือหน่วยจัด เมื่อมีครูไปจัดอบรม เขาติดตามครูหรือไม่ในการช่วยเหลือและสนับสนุนครู เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนประเมินเสร็จในระบบออนไลน์ คนที่เห็นคือส่วนกลางจะรับรู้ข้อมูล ถ้าครูไม่ได้นำไปใช้ก็จะไม่ได้สะสมชั่วโมงในการเลื่อนวิทยฐานะ แต่ถ้าผู้จัดไม่ติดตามครูหรือไม่ช่วยเหลือครูเลย ผู้อำนวยการโรงเรียนก็จะติว่าไม่มีการมาช่วยเหลือ เมื่อ สพค.ทราบ ก็จะถูกขึ้นแบล็คลิสต์ แล้วส่งให้สถาบันคุรุพัฒนา
ท้ายนี้ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช ผู้ดูแลโครงการคูปองพัฒนาครูบอกว่า ความคุ้มค่าของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้กับผู้เรียน ทำอย่างไรก็ได้ ครูเมื่อเลือกอบรมในสิ่งที่บอกว่าครูจะนำไปใช้ได้จริง ขอให้นำไปใช้และพัฒนาผู้เรียนได้จริง ก็จะเกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วประเทศที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้วประมาณ 200,000 กว่าคน ดังนั้นนักเรียนที่จะได้รับโอกาสตรงนี้จะไม่รู้กี่เท่าของ 200,000 คน ดร.เกศทิพย์ กล่าว