ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น สู้สุดใจเพื่อมีวันนี้ แม้ต้องเก็บขยะขายก็ทน

สภาพครอบครัวในช่วงนั้น ถือว่ายากจน ครอบครัวมีอาชีพทำนาเพียงอย่างเดียว แหลม เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมที่โรงเรียนบ้านแต้ เมื่อจบชั้นประถมปีที่ 6 ก็ไปต่อที่โรงเรียนจตุรภูมิวิทยาคาร ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน ห่างจากบ้านเพียง 3 กิโลเมตร ในระดับชั้นมัธยมที่ 1 เมื่อจบชั้นมัธยมที่ 3 แล้ว ก็เรียนต่อในระดับมัธยมที่ 4 จนมาในระดับชั้นมัธยมที่ 5 ก็ลาออก เพื่อไปเอาดีทางต่อยมวย อยู่กับค่าย ป.ประเทือง ที่บ้านกะต่ำ ตำบลแต้ ซึ่งขณะนั้นเป็นค่ายที่โด่งดังมาก เพราะสามารถส่งนักมวยเข้าไปต่อยได้ที่เวทีราชดำเนิน จากชื่อเสียงของนักมวยที่มีฝีมือรุ่นต่อรุ่นกันมา นั้นคือรุ่นพี่ทำทางมาดี รุ่นน้องมีโอกาสเดินตามเข้ากรุงเทพฯ

นายเจียมศักดิ์ หนูรัตน์ วังเอก เล่าว่า เมื่อก่อนบ้านเมืองยังถือว่าลำบาก ในการที่จะส่งลูกสักคนเข้าโรงเรียน ก็อาศัยมีโรงเรียนประถมอยู่ใกล้บ้าน ส่งเสริมให้ลูกเรียน ต้ม หรือ แหลม เป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ไม่งอแงเวลาเลี้ยงมา แต่แววของการเป็นนักสู้นั้นออกมาตั้งแต่เด็ก ชอบกีฬา เชื่อว่าเลือดแรงและเข้มข้นกว่าน้ำ เพราะปู่ก็ชกมวยมาก่อน ตนเองก็ต่อยมวยเลี้ยงชีพมาจนได้ภรรยาในเวลาที่ตนไปต่อยมวย ภรรยาก็จะชอบตามไปเชียร์ จนรักกันแต่งงานกัน เมื่ออายุได้ 15 ปี ก็ให้เจ้าแหลมซ้อมต่อยมวยไทย และพาไปชกตามที่เขาอยากจะชก ซึ่งครั้งแรกที่ชกก็สามารถน๊อคคู่ต่อสู้ได้ในยกที่ 3 ด้วยหมัด และบ่อยครั้งที่ไปชกตามงานวัด ก็มักจะน๊อคคู่ต่อสู้ด้วยมัด ไม่ว่าจะเป็นหมัดซ้าย หรือหมัดขวา หนักพอๆ กัน ส่วนการเรียนนั้น เจ้าแหลมต้องยอมรับว่าเรียนไม่ค่อยเก่ง ชอบหนีโรงเรียนไปต่อยมวยอยู่บ่อยๆ ขนาดยอมขาดเรียนไปซ้อมมวย ไปกินไปนอนอยู่ค่ายมวย ป.ประเทือง ที่บ้านบ้านกะต่ำ ตำบลแต้ ใกล้ๆ กันนี้ก็ยอม ตนก็ยอมรับในสิ่งที่ลูกตนชอบ เพราะเชื่อว่า คนเรา หากมีอาชีพต่อยมวย ก็ไม่ได้น่ารังเกียจแต่อย่างใด เพราะตนก็ชกมวยมา

นายประเทือง หลักทอง เจ้าของค่ายมวย ป.ประเทือง แห่งบ้านกะต่ำ ตำบลแต้ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เล่าอดีตของเจ้าแหลมว่า เจ้าแหลมเปรียบเสมือนลูกหลานคนหนึ่ง เพราะสมัยก่อนที่เปิดค่ายมวยไทย มีนักมวยมาฝึกซ้อมกินอนอยู่ด้วยกว่า 14 คน ซึ่งเจ้าแหลม เป็นหนึ่งในนั้น เจ้าแหลมเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เป็นคนเงียบแต่ขยัน สั่งให้ทำอะไรก็จะทำไม่มีเกี่ยง ชอบต่อยมวยมาก ถึงขนาดยอมขาดเรียนมาซ้อมมวย เวลาสั่งให้ซ้อม และแจ้งคิวการชก หากมีคิวชก เจ้าแหลมก็จะซ้อมหนัก อยู่คนเดียวก็ซ้อม ชื่อเดิมที่ใช้ส่งต่อยมวยไทยคือ ซุปเปอร์เล็ก ป.ประเทือง เคยส่งขึ้นต่อยเวทีราชดำเนิน และมักจะชนะคู่ต่อสู้ด้วยหมัด ต่อยหนักทั้งซ้ายและขวา แต่ก็พบข้อบกพร่องก็คือ เจ้าแหลม ไม่ชอบเตะ ไม่ถนัดเอาเลยจะดีกว่า เคยแพ้เพราะไม่ยอมเตะ พยายามที่จะต่อยหมัดเพื่อเอาชนะ แต่คู่ต่อสู่รู้ทัน เตะอย่างเดียว จนเจ้าแหลมเข้าไม่ถึงจึงแพ้ แต่เวลาเจ้าแหลมชนะ ส่วนใหญ่จะเป็นการน๊อคคู่ต่อสู้ด้วยหมัด ชกไปที่ปลายคาง จึงหันมาเอาดีทางมวยสากล วันนี้ต้องยินดีกับเจ้าแหลม ที่ได้แชมป์WBCของสภามวยโลก แม้ว่าค่ายมวย ป.ประเทือง ในช่วงนี้จะพักฝึกซ้อมมาปีกว่าแล้วก็ตาม แต่ก็แอบเชียร์เจ้าแหลมตลอด เพราะรักเหมือนลูกมาตลอด

ด้าน อ.เชษฎา อาสาราช อาจารย์ที่เคยสอนให้เล่นฟุตบอล ที่โรงเรียนจตุรภูมิวิทยาคาร ตำบลแต้ อำเภออุทุมพรพิสัย เล่าว่า พบเจ้าแหลมตอนมาเรียน ตั่งแต่ระดับมัธยมปีที่ 1 และเมื่อจบมัธยมปีที่ 3 ก็ขอเรียนต่อในระดับมัธยมปีที่ 4 - 5 6 แต่ไม่จบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เรียนจบในระดับมัธยมปีที่ 5 ก็ขอลาออก เพราะอ้างว่าจะไปต่อยมวย ไม่มีเวลามานั่งเรียนตามปกติ ซึ่งก็ได้แนะนำไปว่า อย่างไรเสียการเรียนก็ขอให้ลงเรียนต่อไว้ตลอดอย่าได้ทิ้ง ซึ่งแหลมก็เชื่อ ภายหลังลาออกไปก็ไปลงเรียนการศึกษานอกโรงเรียนอำเภออุทุมพรพิสัย ในระดับมัธยมปีที่6 จนเรียนจบ จากนั้นก็เข้ากรุงเทพไปมีอาชีพต่อยมวย แต่ชีวิตไม่ได้ง่าย จึงไปมีอาชีพเก็บขยะไปด้วย ต่อยมวยไปด้วย จนได้แชมป์ ครั้งแรกWBCที่สามารถเอาชนะนักชกชาวญี่ปุ่น ซาโตะ ที่เวทีคนเมืองศรี อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ ในนาม ศรีสะเกษ ส.รุ่งวิสัย ก่อนที่จะเสียไปในปีต่อมา โดยในปี 2555 -2556 พระเจ้าอยู่หัวฯ องค์ปัจจุบัน ได้พระราชทานปริญญาบัตร ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฎศรีสะเกษ ให้แก่ เจ้าแหลม ในนามผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดศรีสะเกษ

วันนี้เจ้าแหลม นายวิศักดิ์ศิลปะ วังเอก อายุ 30 ปี ได้มีโอกาสคว้าเข็มขัดแชมป์โลกWBCของสภามวยโลก ที่เคยเป็นเจ้าของมันมาก่อน แม้จะเพียงปีเดียว แต่ก็สามารถหวนกลับมาเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง ด้วยความภาคภูมิใจ ท่ามกลางความดีใจของคนศรีสะเกษ จังหวัดที่มีผู้รู้จักในนามจังหวัดของคนจน แต่จังหวัดศรีสะเกษ เป็นเมืองคนสู้ เป็นเมืองของคนจริง เป็นเมืองของแชมป์โลก

ล่าสุดนายสุรชาติ แก้วศิลา นายอำเภออุทุมพรพิสัย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้าแหลม ได้ประชุมหารือกับทุกฝ่ายเตรียมการต้อนรับการกลับบ้านของเจ้าแหลมไว้อย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 29 มีนาคม 2560 เวลา 15.00 น. เตรียมช้างงา ตัวที่งาสวยงามที่สุดจากเมืองช้างจังหวัดสุรินทร์ จังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงกัน มาให้เจ้าแหลมขึ้นขี่ช้าง จำนวน 10 เชือก แห่ไปรอบตัวเมือง เพื่อไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ไม่ว่าจะเป็นองค์หลวงพ่อโต แห่งวัดพระโต พระคู่บ้านเมืองศรีสะเกษ ศาลหลักเมืองศรีสะเกา พระพรมแห่งอำเภออุทุมพรพิสัย และปราสาทวัดสระกำแพงใหญ่ ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ สมัยขอมเรืองอำนาจ ด้วย