" ยรรยง " ขึ้นไต่สวนพยานอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ คดีจำนำข้าว นัด 9

                                  ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ วันที่ 20 มกราคม 60 เวลา 09.30 น. นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ได้ไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 9 คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุ 49 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท 
                                  โดยวันนี้ทนายความจำเลย เตรียมพยานให้ศาลไต่สวน 2 ปาก ประกอบด้วย นาย ยรรยง พวงราช อดีต รมช.พาณิชย์ และนายทศพร ศิริสัมพันธ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) 
                            ซึ่งนาย ยรรยง อดีต รมช.พาณิชย์ เบิกความตอบอัยการเรื่องการระบายข้าวล่าช้าว่า ที่จริงแล้วรัฐบาลจำเลย ได้เร่งรัดการระบายข้าว โดยระยะเวลากว่า 2 ปี มีการระบายข้าวไปกว่า 20 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าทุกรัฐบาล ส่วนตัวเลขว่ามีการระบายข้าวเฉลี่ยรายเดือนเท่าใดนั้นต้องดูที่คณะอนุกรรมการแต่ละคณะที่เกี่ยวข้องมีการใช้ยุทธศาสตร์ระบายข้าวลักษณะใด โดยต้องคำนึงว่าหากการระบายข้าวในช่วงนั้นจะส่งผลให้ราคาข้าวตกต่ำก็ไม่ควรทำ ดังนั้นการตั้งเป้าหมายว่าระบายข้าวเดือนละเท่าใดไม่สามารถทำได้ ต้องดูระยะเวลาที่เหมาะสม แต่ถ้าต้องการรู้ก็นำมาเป็นค่าเฉลี่ยในระยะเวลา 2 ปีได้ 
                                        ส่วนการตรวจสอบป้องกัน แก้ไขปัญหาการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับ บริษัท สยามอินดิก้าฯ ในการระบายข้าวว่า ประเด็นนี้มาจากการอภิปรายทางการเมือง แต่ในการตรวจสอบพบว่า บ.สยามอินดิก้า ไม่มีชื่อเป็นคู่สัญญาการขายข้าว แต่เป็นบริษัทที่ได้รับแต่งตั้งเป็นตัวแทนจากบริษัท GSSG IMP AND EXP CORP ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจคู่สัญญาที่มีรัฐบาลมณฑลกวางตุ้งถือหุ้น 100 % หลังจากที่มีการอภิปรายพยานก็ได้ตรวจสอบบริษัท GSSG และได้รับหนังสือยืนยันว่า บริษัทดังกล่าวเป็นรัฐวิสาหกิจจีนจริง และได้เตรียมพาสื่อมวลชนไปพิสูจน์ความจริง แต่ผู้ที่อภิปรายได้คัดค้านให้เหตุผลว่าสิ้นเปลืองงบประมาณ 
                                      เมื่อ บ.สยามอินดิก้า ไม่ใช่คู่สัญญาและเป็นบริษัทที่แต่งตั้งโดยรัฐวิสาหกิจจีน จึงไม่ใช่เรื่องที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง เนื่องจากฝ่ายบริหารไม่ควรไปตรวจสอบซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีอำนาจสอบเอกชนได้และมีความชำนาญกว่า ส่วนตัวคิดว่าที่ บ.สยามอินดิก้า ปรากฏชื่อเป็นตัวแทนเกี่ยวข้องกับการรับซื้อข้าวหลายครั้งได้ เพราะบริษัทมีโรงงานปรับปรุงข้าวและมีที่เก็บรักษาข้าวใหญ่ที่สุด ส่วนจะมีการส่งข้าวถึงบริษัทจีนจริงหรือไม่นั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่อยู่ในฐานะที่จะลงลึก เป็นเรื่องที่มอบหมายแต่ละหน่วยงานไปปฏิบัติแล้ว เนื่องจาก ครม.มีหน้าที่ระดับบริหารนโยบาย สัญญาเกี่ยวกับการซื้อข้าวต่างๆ ก็จะไม่ได้เข้ามาใน ครม.จะมีบ้างถ้าสัญญาเกี่ยวโยงกับเรื่องที่ ครม.มีหน้าที่พิจารณา 
                                    นาย ยรรยง ตอบด้วยว่า ไม่เชื่อว่ามีเรื่องการนำข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิแทน กับกรณีข้าวหายจากโกดังเป็นจำนวนมากเพราะทำได้ยาก ส่วนการอภิปรายเรื่องการทุจริตระบายข้าวถุงที่ไม่ถึงมือประชาชนนั้น อดีตนายกฯ ได้มอบหมายให้พยานตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งได้ตั้งกรรมการสอบก็พบว่ามีมูล และได้รายงานถึงนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์ และทราบว่าได้มีการสั่งยุติการดำเนินโครงการข้าวถุงแล้วก่อนที่จะมีการอภิปราย 
                                                    นายยรรยง ยังกล่าวถึงการไม่ระบุปริมาณการซื้อขายข้าวกับรัฐบาลจีนด้วยว่า การทำเอ็มโอยู (MOU) เป็นการกำหนดเป้าหมายว่าต้องการซื้อขายปริมาณเท่าใดบางครั้งมีการกำหนดเป้าหมาย แต่เงื่อนไขขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละประเทศด้วย ปริมาณจึงไม่ใช่ข้อผูกมัด อย่างรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำ MOU ขาย 1 ล้านตัน แต่ทำได้จริงแค่ 1 แสนตัน การกำหนดจำนวนส่งออกสูง อาจจะส่งผลให้ราคาข้าวตกต่ำลงได้