ความท้าทายของ ผู้นำคนใหม่

นับเป็นภารกิจใหญ่ของผู้นำสหรัฐคนต่อไป ที่จะต้องขับเคลื่อนประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ท่ามกลางสมรภูมิโลกที่ไร้สเถียรภาพ ตั้งแต่ความวุ่นวายในตะวันออกลาง ภัยก่อการร้ายที่ยังคงก่อตัวในยุโรป ความไม่แน่นอนจากการถอนตัวจากอียูของสหราชอาณาจักร .. ไม่เพียงเท่านั้น.. การแผ่ขยายอิทธิพลของคู่ปรับคนสำคัญอย่าง "รัสเซีย" ที่ยังคงแผ่ขยายอำนาจไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนอีก 1 คู่แข่งอย่างแดนมังกร ที่เดินหน้าผลักดันทั้งการทหารและการค้าอย่างหนักหน่วง ในขณะที่อเมริกันชนเอง เข้าสู่โหมดอารมณ์เบื่อหน่ายต่อภาวะสงครามที่ประเทศของตนมีส่วนเกี่ยวข้องในหลากประเทศอย่างเต็มที่ .. และนี่คือแรงกดดันสำคัญที่ทำให้ ไม่ "ฮิลลารี คลินตัน" ก็ "โดนัลด์ ทรัมป์" จะต้องสาบานตนรับตำแหน่งต้นปีหน้า และจะต้องเผชิญต่อไปในอีก 4 ปีข้างหน้า
ไม่เพียงแนวนโยบายต่อต่างประเทศที่ทั่วโลกเฝ้าจับตา แต่สิ่งที่ผู้นำคนใหม่จะต้องให้ความสำคัญมากไปกว่านั้นคือ เรื่องเศรษฐกิจ และปากท้องชาวอเมริกัน ทั้งการสร้างงาน , ค่าจ้าง, ระบบภาษี การส่งออกและนำเข้า ราคาสินค้า ตลอดจนเรื่องค่าใช้จ่ายในด้านการศึกษา ที่ดูเหมือนกับว่า ทั้งคู่ มีแนวความคิดในการบริหารจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศกันแบบคนละขั้น เพราะในขณะที่อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ต้องการเพิ่มภาษีคนรายได้สูง โดยเฉพาะกลุ่ม "อภิมหาเศรษฐี" เพื่อโกยเงินเข้ารัฐ และปิดช่องโหว่บริษัทในการเลี่ยงภาษี ทรัมป์ กลับต้องการ "ลดภาษี" คนทุกชนชั้น .. แม้จะระบุว่า "เพื่อคนจน" จะได้ "มีเงินมากขึ้น" แต่หลายคนกลับมองว่า นี่เป็นการ "อุ้มคนรวย" เสียมากกว่า .. และจะยังผลให้มีเงินเข้าประเทศน้อยลงกว่าเดิมด้วย
ตลอดช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ชาวอเมริกันหวังจะได้เห็นเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่กลับเผชิญกับภาวะถดถอยถึง 2 ครั้ง ทั้งต่อตลาดหุ้นและภาคอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นงานหนักของว่าที่ผู้นำคนใหม่ที่จะต้องสร้างงาน และเพิ่มอัตราค่าแรงเป็นความสำคัญอันดับแรก ซึ่งเรื่องนี้ผู้สมัครทั้งคู่ ต่างก็เห็นตรงกัน ที่จะต้องทำการเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ..
ส่วนแนวนโยบายของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในการสร้างเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก กับ ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือTPP นั้น ความเห็นของอเมริกันชนเองก็แตกเป็น 2 ฝ่าย ในขณะที่ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯทั้งคู่ คือนางคลินตัน และนายทรัมป์นั้น กลับไม่เห็นด้วยกับความตกลงดังกล่าว เพราะมองว่าสหรัฐฯยังไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริง ๆ
ความต้องการสานสัมพันธ์กับรัสเซีย ของโดนัลด์ ทรัมป์ กับการมองรัสเซีย ว่าเป็นศัตรูอันดับต้น ๆ ของประเทศของนางฮิลลารี ก็เป็นอีกประเด็นที่หลายคนจับตา และจะเป็นตัวตัดสินจากอเมริกันชนได้ดี ว่าพวกเขามีความคิดเข้าข้าง หรือต่อต้านรัสเซียมากเพียงใด
การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และยังมี "ความท้าทาย" อื่น ๆ อีกมาก ที่รอคอยผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ขึ้นมาสานต่อ และต้องจับตาว่า จะนำพาประเทศให้กลับมา "Great Again" ได้อีกหรือไม่