svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

"อิตาลี" ป่วน ศก.ยุโรป นายกฯลาออกสังเวยประชามติ

05 ธันวาคม 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เงินยูโรเสี่ยงดิ่งลงหนัก และอิตาลีอาจแยกตัวจากสหภาพยุโรปอีกประเทศหนึ่ง หลังโพลเบื้องต้นบ่งชี้ Matteo Renzi นายกรัฐมนตรีอิตาลีพ่ายแพ้การลงประชามติของชาวอิตาลีต่อแผนการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ โดยผลโหวต No เท่ากับ 59% ไม่ตอบรับ ส่งผลให้ Renzi ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามที่ประกาศไว้หากว่าผลประชามติออกมาโดยเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้



ประชามติโหวต No ของชาวอิตาลีครั้งนี้ ทำให้กระแสชาตินิยมหวนกลับจนถูกมองไปในอนาคตว่า เป็นอีกเหตุการณ์สำคัญหนึ่งที่อาจนำไปสู่ Brexit ในอิตาลีที่อาจจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปตามอย่างอังกฤษ ซึ่งส่งผลต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของเงินยูโรล่มสลาย ส่วนเงินยูโรร่วงลง 1.3% ที่ 1.0524 ดอลลาร์ ซึ่งเคยอยู่ที่ระดับต่ำสุด 1.0460 ช่วงเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว โดยนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารมิซูโฮคาดเงินยูโรอาจดิ่งลงที่ 1.02 ดอลลาร์ต่อยูโรช่วงเดือนม.ค.-ก.พ.ปีหน้า
สำหรับผลการเลือกตั้งในออสเตรีย พรรคฝ่ายขวาจัดต้องพ่ายแพ้ให้แก่ Alexander Van der Bellen จากพรรค Green ที่เป็นกลางได้รับเสียงเลือกตั้ง 53.3% 
ขณะที่ตลาดการเงินโลกตกอยู่ในภาวะที่ขาดสภาพคล่องของเงินดอลลาร์ เนื่องจากเกิดภาวะที่เรียกว่า Dollar carry trade ขยายปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ภายหลังการเลือกตั้งปธน.สหรัฐจนถึงขณะนี้ ซึ่งมีเม็ดเงินที่ไหลจากจุดที่มีผลตอบแทน (บอนด์ยีลด์) ต่ำกว่าไปสู่ผลตอบแทนที่สูงกว่า จากการที่มีแรงกระหน่ำขายบอนด์ทั่วโลก
โดยเฉพาะการเทชายบอนด์ในตลาดญี่ปุ่น เยอรมัน ตลาดเกิดใหม่ที่รวมถึงจีนด้วย ที่มีการไหลออกของเงินทุนอย่างรุนแรง ส่งผลให้ Dollar Index ยินดหนือระดับ 102 ในช่วงปลสยเดือน พ.ย. ที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 8 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างๆ ทั่วโลก ก่อนที่ Dollar Index อ่อนค่าลงทรงตัวแข็งค่าที่ 100.9 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การเกิด Dollar carry trade ยังคงส่งผลต่อบอนด์ยิลด์ 10 ปีของรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะที่ 2.43% ในวันศุกร์
1. เม็ดเงินจาก Dollar carry trade ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกใจที่บรรดานักวิเคราะห์หุ้นกลับลำคาดการณ์หุ้นสหรัฐ จากดัชนี S&P 500 ที่ 2,087 ก่อนการเลือกตั้ง เป็นการทะยานแตะ2,425 หลังโดนับด์ ทรัมป์ ชนะ โดยอาจจะทะลุถึงระดับ 2,400ในช่วงกลางปี 2017 เพราะผลจากนโยบายใช้มาตรการทางการคลังใช้งบประมาณขาดดุลกระตุ้นจีดีพีและเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเหนือ 2% กลางปีหน้า แต่มีนักวิเคราะห์บางส่วนที่กลัวว่าเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้น S&P 500 อาจจะยืนที่ 2,300 ในช่วงกลางปี 2017 อย่างไรก็ตามหลังดาวโจนส์พุ่งทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ย่อตัวลดลง 21 จุด ปิดที่ 19,170 เมื่อวันศุกร์ ขณะที่ S&P 500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกที่ 2,191 และ 5,255 ตามลำดับ
2. สำหรับผลตอบแทนการลงทุนที่ดีที่สุดและที่สุดในสินทรัพย์ต่างๆ จากรายงานของดอยช์แบงก์เดือน พ.ย. ปรากฎว่า การลงทุนในตลาดบอนด์สหรัฐขาดทุนถึง 3% ส่วนการลงทุนในตลาดสินทรัพย์สกุลเงินยูโรขาดทุนมากกว่า 4% เนื่องจากเงินยูโรที่ร่วงลง ยกเว้นการลงทุนในสกุลเงินปอนด์ให้ผลกำไร 2% แม้จะยังคงมีความกังวลในเรื่อง Brexit นับจาก 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่การลงทุนของบอนด์กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ดิ่งลงถึง 8% นอกจากนี้ การลงทุนในบอนด์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือ High yield bonds ให้ผลขาดทุน 5% ส่วนการลงทุนใน S&P 500 ให้กำไร 4% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 14% ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นจีนและรัสเซียให้ผลตอบแทนบวก 3% และ 4% ตามลำดับ ด้านการลงทุนใจตลาดเกิดใหม่ ดัชนี MSCI EM ของคลาด้กิดใหม่ขาดทุนถึง 5% ส่วนการลงทุนในหุ้นบราซิลที่ขาดทุนมากถึง 10% 3. โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจสหรัฐ คาดว่าดัชนี S&P 500 จะเคลื่อนไหวในระดับ 2,100-2,400 ในปี 2017 แต่ก็ได้ยกประเด็นที่เป็นความกลัวของตลาดที่จะส่งผลต่อทิศทางการลงทุน ได้ โดยเฉพาะในปะเด็นเรื่องการขาดดุลงบประมาณต่อจีดีพีตามแผนการอัดเงินใช้จ่ายผ่านงบประมาณรายจ่าย อาจส่งผลต่อหนี้สาธารณะที่พุ่งขึ้นของรัฐบาลสหรัฐอย่างเลวร้ายที่สุดถึง 5.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 3.2% ในปี 2016 เพิ่มขึ้นเป็น 9.6 แสนลานดอลลาร์ 5.0% ในปี 2017 และเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 6.1% ของจีดีพีในปี 2018 นอกจากนี้ ปัญหาความเสี่ยงสูงจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่พุ่งขึ้นถึง 2.2% ในเดือนล่าสุด เกิดขึ้นเร็วกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลต่ออัตราค่าจ้างปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.6% ซึ่งนับเป็นอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดหลังเกิดวิกฤจิการเงินสหรัฐปี 2008 ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐคงอยากเห็นว่าเงินเฟ้อควรที่จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.7% จากกระดับที่ 1.3% ในปีนี้น่าจะเป็นอัตราที่เหมาะสมกว่า
4. การลงทุนในตลาดน้ำมัน WTI ให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 6% และเบรนท์เพิ่มขึ้น 5%  ในเดือน พ.ย. หลังจากที่เก็งกันว่า Opec จะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งมีมติเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ให้ตัดลดลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะเริ่มในวันที่ 1 ม.ค. 2560 รวมถึงการตัดลดกำลังผลิตนอกกลุ่มโอเปกอีก 6 แสนบาร์เรลต่อวัน โดนโกลด์แมน แซคส์ คาดจะส่งผลต่อราคาพุ่งขึ้นระหว่าง 55-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยที่ WTI ปิดตลาดวันศุกร์ที่ 51.68 ดอลลาร์ เบรนท์ปิดที่ 54.46 ดอลลาร์ โควต้าการปรับลดกำลังผลิตในกลุ่มโอเปกที่สำคัญ เช่น ซาอุดิอารเบียปรีบลดลง 4.86 แสนบาร์เรล จาก 10.54 ล้านบาร์เรล เหลือ 10.05 ล้านบาร์เรลต้อวัน อิรักลดลง 2.1 แสนบาร์เรลจาก 4.56 ล้านบาร์เรล เหลือ 4.35 ล้านบาร์เรล อิหร่านลดลงราว 9 หมื่นบาร์เรล จาก 3.97 ล้านบาร์เรล เหลือ 3.79 ล้านบาร์เรลn ฯลฯ ขณะที่รัสเซียซึ่งอยู่นอกกลุ่มโอเปกและเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่เป็นคู่แข่งขันกันมาโดยตลอดยอมรับที่จะตัดลดกำลังผลิคจำนวน 3 แสนบาร์เรลจากที่ผลิตถึงวันละ 11 ล้านบาร์เรล
5. ตรงข้ามกับการลงทุนเดือนพ.ย.ในทองคำขาดทุน 8% ในทิศทางเดียวกับลงทุนในเงิน (silver) ขาดทุน 8% เช่นกัน ไม่แปลกใจที่ทองร่วงหนัก เพราะทรัมป์ไม่เพียงเป็นปรปฏิปักษ์กับจีนในเรื่องทางการค้าเท่านั้น แต่การกล่าวหาจินในเรื่องการปั่นเงินหยวนให้อ่อนค่ายังส่งผลต่อราคาทองที่ดิ้งลงอย่างหนักหนว่งในช่วงเกือบหนึ่งเดือนหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งเป็นปธน.สหรัฐ เมื่อบรรดากองทุนอีแร้งฟันด์ (เฮดจ์ฟันด์) ทั้งหลายของสหรัฐ พากันเทขายทอง แล้วหันไปซื้อดอลลาร์แทน  ราคาทองในตลาดล่วงหน้า Comex จนถึงวันนี้ดิ่งลงแล้วถึง 15% ในช่วงกว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา นับเป็นการตกต่ำมาที่สุดในรอบ 10 เดือน จากการกระหน่ำขายอย่างหนัก ซึ่งราคาทองในตลาดล่วงหน้า Comex ที่นิวยอร์กกลับดคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม โดยที่ราคาซื้อขายในตลาด Spot ที่มีการส่งมอบทองจริงที่ตลาดค้าทองในเซี่งไฮ้ หรือ Shanghai Gold Exchange การซื้อขายทองกลับมีพรีเมียม โดยให้เป็นกำไรให้กับการซื้อขายเหนือราคาในตลาดล่วงหน้า จากที่เคยมีพรีเมียม 24 ดอลลาร์ร่อออนซ์ เพิ่มขึ้นเป็น 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ นับเป็นพรีเมียมสูงสุดในรอบ 3 ปีโดยที่ราคาทองในตลาดล่วงหน้า Comex ดิ่งลงต่ำสุดในวันพฤหัสฯที่ 1,164 ดอบบาร์ ก่อนที่จะรีบารน์ขึ้นมาปิดที่ 1,175 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันศุกร์

logoline