ร้อง รอง ผบ.ตร. ถูกยัดข้อหาเสพยา ติดคุกฟรี 7 วัน แถมถูกไล่ออกจากงาน

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) - เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 22 ม.ค.2561 นายเฉลิมพล อยู่ดี อายุ 27 ปี พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.และโฆษก ตร. เนื่องจากผลจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้จะถูกไล่ออกจากงาน

นายเฉลิมพล เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากวันศุกร์ที่ 8 พ.ค.2553 เวลาประมาณ 15.00 น.ขณะกำลังเดินทางกลับบ้านหลังจากเลิกงาน พร้อมด้วยเพื่อนอีก 6 คน ซึ่งโดยสารมากับรถบรรทุก 6 ล้อ และเมื่อมาถึงด่านตรวจของ สภ.เมืองชลบุรี ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 7-8 นาย ได้เลือกสุ่มตรวจปัสสาวะของตนเพียงคนเดียว โดยให้ซองพลาสติกไปปัสสวะใส่ และเมื่อนำมาตรวจพบว่ามีสีม่วงจางๆ ขึ้น 2 ขีด แต่ตนก็ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด โดยขณะนั้นตำรวจได้ตั้งคำถามทันทีว่า ตนเองได้เสพยามาเมื่อไหร่ ซึ่งตนได้ปฏิเสธไป พร้อมกับระบุว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดดังกล่าว ได้ควบคุมตัวตนพร้อมด้วยคนอื่นๆที่ถูกตรวจพบว่ามีปัสสาวะสีม่วงอีก 7 คน ไปที่ สภ.เมืองชลบุรี

เมื่อเดินทางไปถึง สภ.เมืองชลบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ปัสสาวะใส่ขวด เพื่อไปตรวจซ้ำอีกครั้ง และขณะที่นั่งอยู่สักพักพนักงานสอบสวนยศ "พ.ต.ต." ได้นำเอกสารรายชื่อของแต่คนละมาวางบนโต๊ะ พร้อมกับบอกให้เซ็นต์ชื่อ ตนจึงได้แย้งไปว่าขออ่านก่อน แต่พนักงานสอบสวนกลับบอกว่า ไม่ต้องอ่านเซ็นต์ไปก่อน เมื่อเซ็นต์เสร็จกลับพบว่าเป็นเอกสารยอมรับคำสารภาพข้อหา "เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย

"ถึงแม้ตนจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่เป็นผล ถูกนำตัวขึ้นไปควบคุมตัวไว้ในห้องขังเพื่อฝากขัง แต่ติดวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้ตนเองต้องนอนอยู่ในห้องขังถึง 2 วัน และเมื่อนำตัวไปฝากขังในวันจันทร์ ก็ต้องนอนอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดชลบุรีอีก 5 วัน รวมเป็น 7 วัน ต่อมาญาติได้ประกันตัวออกมาในวงเงิน 15,000 บาท ก่อนจะไปรายงานตัวต่อกรมคุมประพฤติ และได้รับผลการตรวจปัสสาวะจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดชลบุรีว่า "ไม่พบสารเสพติดให้โทษกลุ่มเมทแอมฟาตีมีน" แต่อย่างใด ผลจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ สภ.เมือง ชลบุรี ทำให้ตนเองต้องถูกให้ออกจากงานทันที เพราะตัวเองต้องไปอยู่ในห้องขังและเรืนจำกว่าสัปดาห์ เมื่อผลการตรวจปัสสาวะปรากฏออกมา ไม่พบสารเสพติด ตนก็ไม่เอะใจอะไรคิดว่าเรื่องจบไปแล้ว จากนั้นเมื่อไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ โดยที่ตนเองก็ไม่ทราบว่าด้วยสาเหตุอะไร

กระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่า 7 ปี พึ่งมาทราบว่า ตัวเองมีคดีติดตัวเมื่อมาสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่งเกี่ยวกับพลังงาน ย่านวิภาวดี เมื่อปลายปี 60 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกฎของบริษัทฯ ต้องตรวจสอบประวัติ โดยขณะทำงานมาได้เกือบ 4 เดือน และกำลังจะผ่านการทดสอบ หรือผ่านโปร ทางบริษัทได้แจ้งว่าพบประวัติติดตัวคดียาเสพติดให้ไปเขียนใบลาออกภายในสิ้นเดือนนี้"นายเฉลิมพล กล่าว

นายเฉลิมพล กล่าวอีกว่า เมื่อทราบเรื่องรู้สึกตกใจมาก ดังนั้น ในวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา จึงรีบกลับไปที่ สภ.เมืองชลบุรี เพื่อติดต่อพบกับพนักงานสอบสวนคนเดิม เพื่อขอสำนวน แต่กลับได้รับคำตอบว่า หาเอกสารไม่พบ จากนั้นในวันที่ 16 ม.ค.จึงเดินทางมาที่ฝ่ายทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอตรวจสอบ พบว่าคดีของตนยังคงอยู่ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่า สภ.เมืองชลบุรี ยังไม่ได้แจ้งผลการดำเนินคดีถึงที่สุดมายังกองทะเบียนประวัติอาชญากร ดังนั้น จึงได้ติดต่อกลับไปยัง สภ.เมืองชลบุรี อีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิมพนักงานสอบสวนอ้างว่า หาเอกสารมาพบ เนื่องจากห้องเก็บสำนวนมีการปรับปรุงยังหาไม่เจอ ทำให้ตอนนี้ไม่รู้ว่าอนาคตเรื่องงานของตนเองจะเป็นอย่างไร แต่ก็ได้นำเอกสารทั้งหมดยื่นไปแล้ว ถ้าผลการตรวจสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบกพร่องต่อหน้าที่ ก็จะดำเนินการฟ้องร้อง เพื่อเรียกค่าเสียหายต่อไป

ทางด้าน พล.ต.อ.วิระชัย เปิดเผยว่า จะให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายอย่างดีที่สุด จากนี้จะนำเข้าที่ประชุม ว่าสาเหตุใดประวัติยังคงอยู่ในฐานข้อมูล ทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขภายใน 3 วัน ถ้าตรวจสอบพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบกพร่อง ก็จะดำเนินการอย่างเฉียบขาด ทุกอย่างต้องโปร่งใสตรงไปตรงมา เพราะตามหลักการแล้ว หากดำเนินการกรณีพบปัสสาวะเป็นสีม่วง อีกขั้นตอนคือการส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล สาเหตุที่ปัสสาวะสีม่วงไม่จำเป็นต้องเสพยาเสพติด อาจมาจากการทานยาบางชนิดที่มีสารประเภทนี้มา เมื่อส่งตรวจกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว จะทราบผลที่แน่นัด เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎก็ต้องปล่อยตัวโดยไม่ต้องมีการประกันตัว รีบทำสำนวนสั่งไม่ฟ้องกรณีรับเลขคดีแล้ว

"กรณีที่ถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ผู้เสียหายถูกละเมิดต้องมีการชดใช้เยียวยา และมีสิทธิที่จะฟ้องดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีระเบียบอยู่แล้ว ถ้าใครเลินเล่อบกพร่องต้องถูกดำเนินการทั้งวินัยและอาญา" รอง ผบ.ตร.กล่าว