แล้วพอถามว่า หนี้มาจากไหน กู้เอาไปทำอะไร ก็ตอบแบบเบลอๆ ว่า ก็เอาไปใช้นั่นแหละ บางทีหนักกว่านั้น คือ ตอบว่า ไม่รู้ ซะเฉยๆ
ปัญหาทุกปัญหา ถ้าไม่รู้ที่มา มันก็แก้ไขยาก หมอจะรักษาคนไข้ก็ต้องรู้อาการที่แท้จริงว่า สุขภาพกายคนไข้เป็นอย่างไร เจ็บป่วยตรงไหน ก่อนหน้านี้มีพฤติกรรมเสี่ยงอะไรหรือไม่ ซักถามจนมีข้อมูลเบื้องต้นแล้วก็ยังไม่พอ บางรายต้องอาศัยผลตรวจทางแล็ป ก่อนจะวินิจฉัยโรค แล้วถึงจะลงมือรักษาให้ถูกทาง
สุขภาพการเงินก็คล้ายๆ กัน แต่อาจจะมีข้อแตกต่างอยู่บ้างตรง ข้อจำกัด ของลูกหนี้ ซึ่งบางทีเรื่องบางเรื่องมันก็เล่าให้คนอื่นฟังไม่ได้จริงๆ พอเป็นกรณีแบบนี้ คำแนะนำส่วนใหญ่จึงเป็นคำแนะนำพื้นฐานทั่วๆ ไป เอาแค่ "จ่ายยาสามัญ" พอช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้บ้าง แต่คงไม่ถึงกับทำให้หายขาดได้ถ้า "พาราเซตามอล" เป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับสุขภาพกาย "วินัยทางการเงิน" ก็คงเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับสุขภาพทางการเงิน ซึ่งเรื่องนี้เข้าขั้นน่าเป็นห่วง เพราะงานวิจัยเกี่ยวกับการก่อภาระหนี้ล่าสุด พบว่า วินัยทางการเงินของคนไทยนั้นมีคุณภาพด้อยลงอย่างชัดเจน
บทความล่าสุดที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย สะท้อนให้เห็นการจับจ่ายใช้สอยผ่านบัตรเครดิตในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า ยอดหนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1.64 แสนล้านบาทในปี 2555 เป็น 2.24 แสนล้านบาทในปี 2559 คิดเป็นเพิ่มขึ้น 38%
ขณะที่ยอดหนี้บัตรเครดิตด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจาก 3 พันล้านบาทเป็น 8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 167% โดยงานวิจัยเกี่ยวกับการก่อภาระหนี้บ่งบอกว่า คนวัยทำงานที่มีอายุ 29 ปี เป็นกลุ่มที่มีการค้างชำระหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเป็นจำนวนมากที่สุด
ซึ่งเป็นผลมาจากคนกลุ่มนี้ขาดวินัยทางการเงิน และไม่กลัวการเป็นหนี้ เพราะคิดว่า ตัวเองยังมีเวลาในการหารายได้มาชำระหนี้ได้อีกนาน
พอเริ่มต้นคิดแบบนี้ กระบวนการใช้เงินก็ขาดความระมัดระวังในทันที เริ่มจากการจับจ่ายใช้สอยโดยไม่คำนึงถึงความไม่แน่นอนของรายได้ในอนาคต ไม่ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตัวเอง สุดท้ายก็กลายเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว
ทั้งๆ ที่ช่วง 10 ปีแรกของการทำงาน ควรจะเป็นช่วงเวลาของเก็บเกี่ยวรายได้ เก็บออมเงิน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เรายังมีแรงทำงานอย่างเต็มที่ ก่อนที่พลังในการทำงานของเราจะค่อยๆ ถดถอยลง
"สุขภาพทางการเงิน" ก็เหมือนสุขภาพกาย นั่นคือ ก่อนที่ร่างกายจะมีปัญหาเจ็บป่วย มันจะมีอาการเตือนก่อนเสมอ หลายครั้งที่มันเตือนแล้ว แต่เรากลับเพิกเฉย ไม่ใส่ใจ คิดแต่ว่า ไม่เป็นอะไร พอเจอปัญหาอีกที ก็อาจจะลุกลามใหญ่โตจนอาจจะแก้ไขไม่ได้
ดังนั้น ใครที่ไม่อยากล่มสลายทางการเงิน ลองเช็คจาก 8 สัญญาณอันตรายเอาไว้สำหรับเตือนภัยตัวเองดูนะคะ
สัญญาณที่บ่งชี้ว่า การเงินของเราเริ่มจะมีปัญหา นั่นคือ
1.เราไม่รู้ว่า มีเงินเข้าหรือมีรายได้เท่าไหร่
2.เราไม่รู้ว่า เรามีภาระค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ถือเป็นเรื่อง "พื้นฐาน" เพราะถ้าไม่รู้ว่า เงินเข้าเท่าไหร่ เงินออกเท่าไหร่ เราจะไม่สามารถวางแผนทางการเงินได้เลย พอวางแผนไม่ได้ ใช้เงินไปเรื่อยๆ สัญญาณที่
3. เราเริ่มถอนเงินออมออกมาใช้จ่าย
ตั้งแต่สัญญาณที่ 1 ถึง 3 แม้จะบ่งบอกว่า สุขภาพทางการเงินของเราเริ่มปัญหาแล้ว แต่ก็ยังไม่อันตรายเท่าสัญญาณที่ 4 ถึง 8 ค่ะ
4. เรามียอดหนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเงินเข้ากับเงินออกไม่สัมพันธ์กัน เมื่อเงินเข้าน้อยกว่าเงินออก เงินออมก็ไม่เหลือแล้ว สุดท้ายก็ต้องก่อหนี้เพิ่ม แต่จุดสำคัญจริงๆ จะเกิดขึ้นในสัญญาณที่ห้า
5.เราจะเริ่มจ่ายหนี้ได้ไม่เต็มจำนวน เริ่มจ่ายขั้นต่ำบ้าง จ่ายแต่ดอก ไม่จ่ายต้นบ้าง ทีนี้พอจ่ายขั้นต่ำ จนน็อครอบแล้ว หมุนไม่ออกแล้ว สัญญาณอันตรายที่หก
6. เราจะเริ่มกดเงินสดจากบัตรเครดิต (ที่ปกติควรจะใช้สำหรับชำระค่าสินค้าและบริการ) หรือพึ่งพาเงินกู้ส่วนบุคคล
7.เราเริ่มแก้ปัญหาโดยการกู้หนี้ใหม่เพื่อใช้หนี้เก่า
และสุดท้าย 8.เราจะหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงมาก ทำให้การแก้ปัญหาทางการเงินยากมากขึ้น ตรงนี้อันตรายที่สุดแล้ว!
ลองตรวจสอบสุขภาพทางการเงินของตัวเองดูนะคะว่า ขณะนี้เราอยู่ใน "สัญญาณเตือนภัย" ที่เท่าไหร่ แล้วรีบหาทางแก้ไข จะแก้ปัญหาหนี้ให้มีประสิทธิภาพต้องโฟกัสไปที่ฝั่งรายจ่ายให้มากๆ ค่ะ
เพราะถ้าเราคิดจะมุ่งไปทางฝั่งรายได้ ก็ต้องพึงระลึกว่า ต่อให้เราทำงานหนักขึ้น เพื่อหารายได้ให้มากขึ้นแค่ไหน มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ถ้าเรายังไม่แก้ไขนิสัยใช้จ่ายเกินตัว ไม่รู้จักเก็บออม ไม่วางแผนทางการเงิน และไม่สร้างวินัยทางการเงินให้กับตัวเอง