เราเคยได้ยินว่า “น้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ” เป็นยาจากธรรมชาติ หากย้อนกลับไปในอดีตก่อนที่มนุษย์จะรู้จัก “น้ำตาล” มนุษย์ใช้ความหวานจากน้ำผึ้งใส่ในอาหาร ใช้น้ำผึ้งปรุงยาทั้งตำรับแพทย์แผนโบราณแพทย์แผนจีน ต่อเนื่องมาจนถึงการวิจัยส่วนผสมในยารักษาโรค และอาหารเสริมยุคปัจจุบัน
การศึกษาวิจัยทางคลินิก ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงในวารสาร Complementary Therapies in Medicine พบว่าการบริโภคน้ำผึ้งช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ลดความดันโลหิต และลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
ในน้ำผึ้งมีอะไร?
น้ำผึ้งผลิตจากน้ำหวานที่ผึ้งสะสมจากดอกไม้พืชพันธุ์ต่างๆ ประกอบด้วยน้ำตาลประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือเป็นน้ำ แร่ธาตุ กรด โปรตีนบางชนิด และสารชนิดอื่นๆ
สารที่ให้รสหวานในน้ำผึ้งจะมีส่วนผสมของน้ำตาลหลากหลายชนิด ได้แก่ น้ำตาลฟรุกโตส 35 – 40 % กลูโคส 30 – 35% และซูโครสอีกเล็กน้อย โดยน้ำผึ้งมีค่าดัชนีน้ำตาลอยู่ที่ 60 ซึ่งจัดอยู่ในช่วงปานกลางดังนั้น น้ำผึ้งถือว่าเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตเหมือนกันกับน้ำตาล
หวานจาก “น้ำผึ้ง” กับ “น้ำตาลทราย” ต่างกันตรงไหน?
จริงๆ แล้วหลายคนคิดว่า น้ำผึ้งเป็นอาหารที่ให้ความหวานตามธรรมชาติ น่าจะดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่ผลิตขายกันตามท้องตลาด แต่ที่จริงแล้ว น้ำผึ้งก็ถือว่าเป็นน้ำตาลเช่นกัน เพราะในทางเคมี น้ำผึ้งมีสารประกอบหลักๆ ที่เหมือนกันกับน้ำตาลทราย คือ “กลูโคส” และ “ฟรุกโตส” ต่างกันตรงที่น้ำตาลทรายเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ขณะที่น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ซึ่งหมายความว่า ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังให้แคลอรี่สูงกว่าอีกด้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 22 แคลอรี่ ส่วนน้ำตาลทรายขาวในปริมาณเท่ากัน จะให้พลังงานประมาณ 16 แคลอรี่ แต่น้ำผึ้งให้ความหวานมากกว่า เราเลยใช้ปริมาณน้ำผึ้งในการประกอบอาหารต่างๆ น้อยกว่า
กินน้ำผึ้งทุกวันจะเป็นเบาหวานหรือไม่?
มีงานวิจัยชี้ว่าการกินน้ำผึ้งทุกวันส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคอเลสเตอรอล และน้ำหนักตัวของผู้ป่วยเบาหวาน จากการศึกษาในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งหมด 48 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มรับประทานน้ำผึ้งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ กับกลุ่มที่ไม่ได้รับประทานน้ำผึ้ง ผลออกมาคือผู้ที่บริโภคน้ำผึ้งเป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีน้ำหนักและระดับไขมันในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานลดลง แต่ในขณะเดียวกันน้ำผึ้งก็ทำให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดสูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรบริโภคอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้รับประทานเกินวันละ 6 ช้อนชา (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) มิฉะนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพแทน
…แล้วแบบนี้ผู้ป่วยเบาหวานยังสามารถเลือกกินน้ำผึ้งแทนการกินน้ำตาลได้ไหม
จำไว้เสมอว่า น้ำผึ้งก็คือน้ำตาลจากธรรมชาติ มีองค์ประกอบของน้ำตาลทั้งกลูโคส ที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ทันที และฟรักโตส ที่ต้องย่อยให้เป็นกลูโคส
อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจคือ น้ำผึ้งมีผลให้น้ำตาลในเลือดขึ้นช้ากว่า แต่ก็ขึ้น (ดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย) อยู่ดี ซึ่งในคนที่เป็นเบาหวาน ถ้าควบคุมไม่ได้ ไม่แนะนำให้ใช้น้ำผึ้ง ถ้าควบคุมได้ จากที่เคยใช้น้ำตาลเท่าไหร่ ถ้าเอาน้ำผึ้งเข้าไป “แทนที่” ในปริมาณที่เท่ากัน
แล้วน้ำตาล “ขึ้นช้ากว่า” ดีอย่างไร?
ในคนปกติเมื่อน้ำตาลขึ้นเร็ว เช่น กลูโคส ดัชนีค่าน้ำตาลเป็น 100% ร่างกายจะมีอินซูลินมาทำให้ระดับน้ำตาลลดลงค่อนข้างรวดเร็ว แต่ในคนเป็นเบาหวานมีความผิดปกติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดการที่น้ำตาลขึ้นสูงในเวลาอันรวดเร็วอาจเกิดการทำลายของเส้นเลือดตรงปลายประสาทได้ง่ายมากขึ้น
“น้ำผึ้ง” จากการศึกษาพบว่าค่าดัชนีการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอยู่ที่ 70-80% ขึ้นกับปริมาณกลูโคส ซึ่งถ้ามีมาก น้ำตาลจะขึ้นเร็วตามไปด้วย
น้ำผึ้งกินแค่ไหนให้พอดี
การกินน้ำผึ้งในปริมาณที่เหมาะสม สำหรับคนปกติไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน (ขึ้นกับน้ำหนักตัวและการใช้พลังงาน) ในเด็กไม่ควรเกิน 4 ช้อนชาต่อวัน
สำหรับคนที่มีปัญหาน้ำตาลในเลือดสูงหรือผู้ป่วยเบาหวาน ควรได้รับคำแนะนำจากนักโภชนาการหรือนักกำหนดอาหาร ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินในรูปของเครื่องดื่มเพราะดูดซึมเร็วและมีปริมาณน้ำตาลสูง
...รู้แบบนี้แล้ว ใครที่ชื่นชอบน้ำผึ้งก็ยังทานกันได้อยู่ และยังได้รับประโยชน์จากน้ำผึ้งกันไปเต็มๆ ไม่ต้องกลัวโรคอะไรร้ายแรง เพียงแต่ควรจำกัดปริมาณในการทานอย่าให้มากเกินไป และหากเริ่มมีอาการท้องอืด ท้องเสีย แนะนำให้หยุดทานสักระยะ อาการน่าจะดีขึ้น