ในวันที่แอปฯ สตรีมมิ่งทำให้เราดูหนังที่ไหน เมื่อไรก็ได้ แต่ ‘โรงภาพยนตร์’ ยังคงมีเสน่ห์บางอย่างที่แพลตฟอร์มไหนๆ ก็ไม่อาจทดแทนได้
ยิ่งถ้าฉายบนจอ IMAX ขนาดใหญ่ ยิ่งรู้สึกเหมือนได้เข้าไปเสพงานศิลปะอย่างเต็มอิ่มทั้งภาพและเสียง ซึ่งทุกวันนี้ IMAX ก็ยังคงได้รับความนิยม ทั้งฝั่งคนทำหนังอย่าง เดอนีส์ วีลเนิฟว์ ผู้กำกับ Dune ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ถูกถ่ายทำมาเพื่อฉายบนจอ IMAX ส่วน คริสโตเฟอร์ โนแลน ก็ทำรายได้จากการฉาย Oppenheimer เวอร์ชั่น IMAX ได้สูงถึง 96.4 ล้านเหรียญ รวมทั้งคนรักหนังที่พร้อมจ่ายแพงกว่าเพื่อเข้าไปรับอรรถรสจากการชมภาพยนตร์ด้วยอัตราส่วนจอ 1.43:1 นี้ จนเรียกได้ว่า IMAX และขนาดจอที่แปลกกว่าใครนั้นครองใจทั้งคนดูหนังและคนทำหนังเลยทีเดียว
แม้เราจะเคยชินว่า IMAX หรือ Image Maximum เป็นรูปแบบการฉายภาพยนตร์ที่มีความละเอียดสูงและหนังหลายเรื่องก็มีเวอร์ชั่นนี้มาให้ชม แต่หากย้อนกลับไปในช่วงแรกๆ IMAX มักจะถูกฉายในรูปแบบสารคดีและภาพทิวทัศน์ที่ต้องการความคมชัดมากกว่า แถมยังมีความยาวเฉลี่ยเพียง 40 นาที ก่อนจะถูกพัฒนาให้เข้าถึงได้ง่ายและหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน
จากภาพยนตร์หลายจอ สู่จอขนาดยักษ์ IMAX
ย้อนไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 กลุ่มคนทำหนังในแคนาดามีไอเดียอยากจะฉายภาพยนตร์จอใหญ่เพื่อให้ผู้ชมได้อรรถรสอย่างเต็มอิ่ม เลยใช้กล้องและโปรเจกเตอร์หลายตัวเพื่อให้ได้ภาพที่มีความกว้างมากกว่าปกติ แต่ปัญหาคือความต่อเนื่องของภาพ ทั้งตำแหน่งและความสว่างของโปรเจกเตอร์แต่ละตัวที่ไม่เท่ากัน ทว่าการฉายหนังรูปแบบนี้ กลับมีกระแสตอบรับที่ดีจากคนดู พวกเขาจึงเริ่มพัฒนาอุปกรณ์การถ่ายทำและฉายภาพยนตร์ที่เพิ่มความละเอียดให้สูงขึ้น จนในสุดก็กลายเป็นระบบ ‘IMAX’ โดยบริษัท IMAX Corporation ที่สามารถถ่ายและฉายภาพยนตร์ความละเอียดสูงในหน้าจอขนาดใหญ่ได้
แต่เบื้องหลังการถ่ายทำแบบ IMAX ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งต้นทุนที่สูง ใช้กล้องที่หนักและขนาดใหญ่กว่ากล้องทั่วไป แถมกล้องยังมีเสียงดังรบกวนจนถ่ายฉากที่มีบทสนทนาได้ยาก ในช่วงแรกๆ ภาพยนตร์เวอร์ชั่น IMAX จึงมักจะมีความยาวประมาณ 40 นาที และส่วนใหญ่จะเป็นภาพวิวทิวทัศน์ สารคดี เพื่อให้เห็นรายละเอียดทัศนียภาพอย่างแจ่มชัดยิ่งขึ้น
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ ในเดือนกันยายน ปี 2020 IMAX จึงได้เปิดตัวโปรแกรม ‘Filmed In IMAX’ โครงการที่มีการรับรองกล้องดิจิตอลคุณภาพสูง เพื่อสร้างภาพยนตร์ในรูปแบบ IMAX และแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีกล้องที่ความละเอียดเทียบเท่ากล้อง IMAX แบบดั้งเดิมได้ แต่ก็นับว่าโครงการนี้ช่วยปูทางไปสู่การสร้างภาพยนตร์ IMAX ที่หลากหลายและเข้าถึงได้มากขึ้น
นอกจากนี้ภาพยนตร์บางเรื่อง ยังใช้เทคนิคบางอย่างเพื่อสร้างเวอร์ชั่น IMAX ออกมาให้เราได้ชม อย่างเรื่อง The Dark Knight ในฉากปล้นธนาคารที่ตัดปัญหาเรื่องเสียงกล้อง ด้วยการอัดเสียงแยกและใส่เข้ามาในภายหลัง เพราะฉากนี้ตัวละครส่วนใหญ่จะสวมใส่หน้ากาก หรือแม้แต่ภาพยนตร์เรื่อง Oppenheimer ที่ไม่ได้เน้นภาพทิวทัศน์ แต่ผู้กำกับภาพอย่าง ฮอยเต ฟาน ฮอยเตมา (Hoyte van Hoytema) กล่าวว่า ใบหน้าก็เป็นทิวทัศน์ในรูปแบบหนึ่งได้เช่นกัน เพราะโดยพื้นฐานแล้วใบหน้าของมนุษย์เป็นรูปทรงสามมิติที่งดงาม มีอารมณ์ความรู้สึกและมีความลุ่มลึกที่เขาอยากจะถ่ายทอดออกมาผ่านรูปแบบ IMAX แม้ว่าการถ่ายทำจะซับซ้อนมากขึ้นก็ตาม
สำหรับคนทำหนัง คริสโตเฟอร์ โนแลน มองว่าจอแบบ IMAX มีสัดส่วนที่เก็บรายละเอียดภาพได้ดีที่สุด เพราะในมุมการถ่ายทำ กล้อง IMAX 65 มม. (หรือ 70 มม.) ให้คุณภาพสูงสุดทั้งรายละเอียด สี คอนทราสต์ และเกรนของฟิล์มที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยเฟรม IMAX 65 มม. จะมีอัตราส่วนภาพที่ 1.43:1 ซึ่งจอภาพยนตร์ทั่วไปไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด (ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 1.85:1 หรือ 2.35:1) ซึ่งคงน่าเสียดายหากภาพที่ถ่ายมาถูกตัดทอนรายละเอียดบางส่วนออกไป
ขณะที่จอ IMAX สามารถรับสัดส่วน 1.43:1 ได้ครบถ้วน โดยโรงภาพยนตร์ที่มีจอ IMAX ขนาด ใหญ่ 1.43:1 มีเพียง 30 แห่งทั่วโลก ส่วนหน้าจอ IMAX อื่นๆ จะมีอัตราส่วนภาพ 1.90:1 แต่ก็นับว่ามากกว่าจอภาพยนตร์ทั่วไปอยู่ดี
อรรถรสที่ผู้คนใฝ่หา
การฉายภาพยนตร์แบบ IMAX ในปัจจุบันนับว่ามีให้ชมหลากหลายและเข้าถึงได้มากกว่าเมื่อก่อน แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่บ้านเรา แค่ราคาตั๋วหนังธรรมดาก็ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว ภาพยนตร์เวอร์ชั่น IMAX เลยกลายเป็นเหมือนอรรถรสที่ผู้คนใฝ่หา ทว่าราคาแสนแพง สวนทางกับค่าครองชีพในบ้านเราอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเราเชื่อว่าหลายคนก็ยังยอมควักกระเป๋าตังค์จ่ายเท่าที่มีกำลังซื้อ เพราะภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงสื่อบันเทิง แต่มีความหมายกับผู้คนในหลายมิติ บ้างก็เป็นสื่อที่ช่วยฮีลใจ บ้างก็ช่วยให้เราได้ตกตะกอน มีพลังใช้ชีวิตต่อไปได้
เพราะหากมองลึกลงไป การชมภาพยนตร์เปรียบเสมือนการได้ก้าวเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่ง โดยเปิดประสาทสัมผัสการมองเห็นและรับฟังอย่างเต็มที่ ยิ่งทุกอย่างดูสมจริงเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนเราได้ก้าวเข้าไปใน ‘โลกอีกใบ’ มากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ IMAX จะครองใจผู้คนได้ เพราะนอกจากเรื่องขนาดจอแล้ว เวลากล้องเคลื่อนไหว เราก็จะรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวได้ในแบบที่ใจเต้นตามไปด้วย หรือถ้ามีเสียงระเบิดดังกระหึ่ม แม้กระทั่งเสียงหายใจอันแผ่วเบา เราก็จะได้ยินอย่างคมชัด ราวกับเป็นผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ในระยะใกล้
เหล่านี้จึงเป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากการเปิดหนังดูที่บ้าน หรือแม้แต่ในโรงภาพยนตร์ทั่วไป และนั่นคงเป็นเสน่ห์ของงานศิลปะชิ้นนี้ ที่ไม่ว่ากระบวนการสร้างสรรค์จะซับซ้อนแค่ไหน ต้นทุนจะสูงอย่างไร แต่คนทำหนังก็ยังหลงใหล และคนดูหนังก็ยังหลงรักภาพยนตร์ในรูปแบบ IMAX มาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง