
ด่านสะเดาแห่งใหม่ ไร้ทางเชื่อมไทย-มาเลย์
เป็นไปได้ ด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่งบประมาณ 2,200 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จมานาน 4ปี แต่กลับเปิดใช้งานไม่ได้เพราะไม่มีถนนที่เชื่อมต่อระหว่างไทยและมาเลเซีย ล่าสุดยังวุ่นไม่เลิกหลังมีข้อมูลออกมาจะเปิดด่านใหม่ได้ต้องปิดด่านเก่าที่ใช้งานปัจจุบัน ร้อนถึงชาวบ้านและผู้ประกอบการรวมตัวคัดค้านขอความเป็นธรรม ข้อพิพาทนี้มีรายงานว่านายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ได้นัดหมายหารือผู้นำมาเลเซียที่ อ.สะเดา จ.สงขลาในสัปดาห์หน้านี้ บทสรุปเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ติด
ที่นี่ด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ตั้งโดดเด่นสวยงามบนเนื้อที่ 600ไร่ ทำเลใกล้กับตะเข็บชายแดนไทย-มาเลเซีย ฝั่ง อ.สะเดา จ.สงขลา ใช้งบประมาณก่อสร้างกว่า 2,200 ล้านบาท ด่านแห่งใหม่นี้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 2558 อาคาร สำนักงานและส่วนง่านต่าง ๆ สร้างเสร็จและส่งมอบงานเมื่อเดือน ก.ย.2562
ผ่านมา 4ปีด่านแห่งใหม่นี้ก็ยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้ เหตุผลเพียงข้อเดียวคือไม่มีถนนที่จะเชื่อมต่อไปยังประเทศมาเลเซีย แต่บนถนนที่ปลายทางยังไม่สิ้นสุดย่อมมีทางออกให้เลือกเสมอ 1ในทางเลือกนั้นคือปิดด่านสะเดาเดิมเพื่อเปิดใช้งานด่านสะเดาแห่งใหม่
ทีมข่าวสืบสวนความจริงลงพื้นที่ย้อนรอยเส้นทางที่มา ที่ไปของโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่พบว่า โครงการนี้เริ่มต้นจากความพยายามที่จะลดปัญหาการจราจรที่แออัดบริเวณ “ด่านสะเดา” ด่านพรมแดนไทย-มาเลเซียที่ตั้งอยู่ใน อ.สะเดา จ.สงขลา ติดกับด่านบูกิต กายูฮีตัม รัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งคนในพื้นที่มักจะเรียกด่านนี้ว่า “ด่านนอก หรือด่านจังโหลน” เนื่องจากที่ อ.สะเดานั้นมีด่านพรมแดนถึง 2 แห่งด้วยกันนั่นคือ ด่านสะเดา และด่านปาดังเบซาร์
โดย “ด่านสะเดา” นั้นเป็นด่านหลักที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาคหรือประมาณ 5แสนล้านบาท/ปี
แต่ความแออัดบริเวณหน้าด่านเป็นข้อจำกัดที่ฉุดการพัฒนาโดยเฉพาะช่วงเทศกาลต้องใช้เวลาข้ามแดนนาน1-2 ชั่วโมง แนวคิดการสร้างด่านใหม่ที่ขยับห่างออกไปประมาณ 1กม. จึงเกิดขึ้นพร้อมกับข้อตกลงที่ว่าด่านใหม่รองรับการขนส่งสินค้า ส่วนด่านเดิมสำหรับรองรับการท่องเที่ยว แต่เมื่อเงื่อนไขถูกเปลี่ยนชาวบ้านและผู้ประกอบการจึงลุกขึ้นขอความเป็นธรรม
แม้จะไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าจะต้องปิดด่านสะเดาแห่งเดิมจริงหรือไม่ ปฎิเสธไม่ได้ว่าชาวบ้านที่ทำมาค้าขายอยู่ที่บริเวณหน้าด่านจำนวนไม่น้อยต่างกังวลใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะหากมีการปิดด่านจริง เท่ากับว่ากำลังนับถอยหลังสู่การล่มสลายของพื้นที่เศรษฐกิจหน้าด่านเหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นที่ด่านปาดังเบซาร์ ชุมชนการค้าที่เคยรุ่งเรืองเหลือไว้เพียงแค่ภาพจำ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีกหรือไม่
นี่คือสภาพถนนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ระยะทาง 850 เมตร จากจุดที่เป็นซุ้มประตูเข้าด่านใหม่เพื่อเชื่อมไปยังชายแดนมาเลเซียในจุดตัดที่ BP23/9 - BP 23/10 ที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่ โดยต้องลัดเลาะไปตามแนวรั้วกั้นเขตแดนของสองประเทศเพื่อเบี่ยงเส้นทางไม่ให้ลุกล้ำเข้าไปยังที่ดินสปก.ของชาวบ้านจำนวน 20 ไร่ที่ตกลงค่าเวนคืนไม่ได้ โดยชาวบ้านต้องการไร่ละ 5 ล้านบาท แต่รัฐจ่ายได้เพียงไม่เกิน 2 ล้านบาท เรื่องนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้วเกิดข้อผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น เนื่องจากฝั่งมาเลเซียที่อยู่ตรงข้ามกับด่านแห่งใหม่เป็นพื้นที่ค่ายทหารจึงไม่อนุญาติให้ใช้เป็นจุดผ่านแดนได้
การกำหนดจุดเชื่อมต่อชายแดนไทย-มาเลเซียเป็นปัญหาที่รื้อรังมานานและผ่านการทักท้วงมาหลายครั้ง ซึ่งเรื่องนี้อดีตนายกเทศมนตรีตำบลสำนักขาม หนึ่งในองคาพยพที่มีส่วนเกี่ยวข้องโครงการนี้ตั้งแต่แรก ออกมาให้ข้อมูลถึงความผิดพลาดและความคลาดเคลื่อนที่ทำให้ด่านสะเดาแห่งใหม่มูลค่า2พันล้านถูกสร้างอยู่บน “ที่ดินตาบอด”
การลุกขึ้นประกาศจุดยืนคัดค้านการปิดด่านสะเดาเดิมอย่างเด็ดขาดของชาวบ้านและผู้ประกอบการครั้งนี้ ไม่ได้ห้ามหากจะมีการเปิดด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ เพราะเข้าใจดีว่าด่านใหม่นั้นมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจภาพรวม ซึ่งก็สอดรับกับมุมมองของภาคเอกชนที่ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่ายอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย หรือ IMT – GTที่เคยผลักดันเรื่องนี้
สำหรับย่านเศรษฐกิจการค้าหน้าด่านหรือที่เรียกว่าธุรกิจด่านนอกนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้สะพัดปีละหมื่นล้านบาท เพราะที่นี่มีโรงแรมมากกว่า 30 แห่ง ,สถานบันเทิง, ร้านค้า ,ร้านอาหาร,สปา, และธุรกิจอื่นๆแบบครบวงจร หากพื้นที่บริเวณนี้ไม่มีประตูให้ผู้คนผ่านเข้า-ออก ทิศทางการเติบโตของธุรกิจที่นี่จึงไม่ต่างจากการถูกผลักให้นับถอยหลังสู่การล่มสลาย
ดังนั้นโอกาสสุดท้ายที่จุดประกายความหวังให้กับผู้ประกอบการและชาวบ้านได้ลุ้นให้ธุรกิจการค้าอยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจชายแดน นั่นคือการนัดหมายหารือกันของผู้นำสองรัฐบาลระหว่างนายกรัฐมนตรีประเทศไทย “เศรษฐา ทวีสิน” และผู้นำรัฐบาลมาเลเซียดาโตะ อันวาร์ อิบราฮิม ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา