
รพีพรรณ : จากการแจ้งความภรรยาหาย สู่หลักฐานที่ตำรวจพบค่อยๆเผยขึ้นมาทีละน้อย ทำให้ตำรวจยิ่งมั่นใจว่าหมอวิสุทธิ์เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหมอผัสพร ทั้งภาพวงจรปิด ทั้งข้อความที่เพจเจอร์ และจดหมายปริศนาที่อ้างว่าเป็นของหมอผัสพรอีก ตำรวจสืบพบอะไรที่น่าสงสัยอีก เราไปพูดคุยกับคุณพรรณทิพากันค่ะ
พรรณทิพา : เมื่อทุกอย่างเริ่มมีเงื่อนงำ ตำรวจสืบไปจนพบว่าหมอวิสุทธิ์ได้ไปเปิดห้องพักแห่งหนึ่ง ภายในอาคารวิทยนิเวศน์ ตั้งอยู่ภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเอาไว้ นำไปสู่การเข้าตรวจค้นห้องพักในอาคารวิทยนิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ห้องพักพบคราบเลือดภายในท่อน้ำทิ้ง ยิ่งทำให้มั่นใจว่านี่จะนำไปสู่หลักฐานสำคัญ บวกกับข้อมูลนี้ยังสอดคล้องกับพยานที่ได้ยินเสียงกดชักโครกดังทั้งคืนภายในห้องดังกล่าวด้วย เจ้าหน้าที่จึงนำรถมาดูดสิ่งปฏิกูลในบ่อเกรอะของอาคาร จนพบชิ้นเนื้อมนุษย์น้ำหนัก 3,330 กรัม ซึ่งเป็นชิ้นเนื้อที่ยังสดใหม่อยู่ และเมื่อเอาชิ้นเนื้อไปตรวจดีเอ็นเอ ปรากฎว่าตรงกับดีเอ็นเอของหมอผัสพร เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเลือดของลูกชายหมอผัสพร ก็ตรงกันทั้งหมด
สรุปได้ว่าชิ้นเนื้อเหล่านั้นเป็นของหมอผัสพร ยืนยันด้วยผลตรวจของแพทย์นิติเวช ชิ้นเนื้อที่พบเป็น ลำไส้ ปอด กระบังลม โดยถ้าหากมนุษย์ขาดอวัยวะเหล่านี้บุคคลนั้นย่อมถึงแก่ความตายแน่นอน//
รพีพรรณ : หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ถือเป็นหลักฐานสำคัญในคดีนี้ ไม่ต่างจากพยานบุคคลที่มาให้ปากคำกับตำรวจ รวมไปถึงกล้องวงจรปิด และพยานหลักฐานอื่นๆ ที่ตำรวจรวบรวมไว้ได้ คุณพรรณทิพา ได้ไปพูดคุยกับอดีตตำรวจ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนคดีนี้ด้วย เป็นอย่างไรบ้าง
พรรณทิพา : ใช่ค่ะ แม้ว่าปัจจุบันท่านจะเกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยตำแหน่งสุดท้ายคืออดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี แต่ยังจดจำคดีนี้เป็นอย่างดี
โดยย้อนไปในขณะนั้นอดีตพนักงานสอบสวนคดีนี้ตั้งข้อสังเกตุหลายข้อ ที่จับข้อพิรุธความผิดปกติของหมอวิสุทธิ์ได้
โดยเริ่มตั้งแต่หมอวิสุทธิ์บอกว่าภรรยาตัวเองส่งข้อความทางเพจเจอร์ว่าจะไปปฎิบัติธรรมเป็นเวลา 7 วัน ขอให้ไปรับลูกแทน ซึ่งพอตรวจสอบไปยังศูนย์ข้อความวิทยุเพจเจอร์กลับไม่พบข้อความที่หมอผัสพรฝากไว้ตามที่กล่าวอ้าง
มีจดหมายมาที่โรงพยาบาลรถไฟ อ้างว่าหมอผัสพรลางาน 7 วัน อีกฉบับส่งถึงลูก โดยระบุข้อความในนั้นว่า ให้ป๊า(หมอวิสุทธิ์)ดูแล ขณะที่เพื่อนสนิทของหมอผัสพรที่โรงพยาบาลบอกว่า ลายเซ็นในจดหมายนั้นไม่ใช่ลายเซ็นหมอผัสพร และปกติหมอผัสพรจะไม่ลางานในลักษณะแบบนี้ โดยจดหมายนี้ส่งมาจากจังหวัดจันทบุรี
ตำรวจมีการตรวจน้ำหมึกลายเซ็นต์ในจดหมายปรากฏว่า น้ำหมึกนั้นเป็นปากกาของหมอวิสุทธิ์ที่ใช้อยู่ประจำ
และ หมอวิสุทธิ์ใช้บัตรเครดิตในการรูดจ่ายค่าอาหาร ที่ไปรับประทานอาหารกับภรรยาที่ร้านโออิชิในวันเกิดเหตุ แต่จากการสอบปากคำทุกครั้งหมอวิสุทธิ์จะยืนยันว่าไม่ได้เจอภรรยาตัวเองมานานแล้ว ซึ่งขัดกับพยานหลักฐานที่ตรวจพบ อีกทั้งจากการตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตของหมอวิสุทธิ์ พบว่าถูกใช้ในการซื้อถุงขยะขนาดใหญ่ ก้อนดับกลิ่น กระดาษทิชชู่ เป็นจำนวนมาก ที่ย่านสีลม
หมอวิสุทธิ์มีการเบิกยา Dormicum (อ่านว่า ดอร์มิคุม ) มาจากโรงพยาบาลจุฬา 50 เม็ด ซึ่งเบิกมาก่อนเกิดเหตุ 1-2 สัปดาห์ ในใบเบิกระบุว่าเบิกมาให้แม่ แต่จากการตรวจสอบประวัติการรักษา แม่ไม่จำเป็นต้องใช้ยานอนหลับชนิดนี้ และที่สำคัญ พบว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมา 1-2 ปีแล้ว ความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
รพีพรรณ : มูลเหตุจูงใจอะไรที่ทำให้หมอวิสุทธิ์ลงมือฆ่าภรรยาตัวเอง และหั่นศพเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่ออำพรางคดี และในท้ายที่สุดแล้วศาลมีคำพิพากษาคดีนี้อย่างไร ติดตามต่อช่วงหน้าค่ะ