svasdssvasds
เนชั่นทีวี

กีฬา

เปิดเส้นทางยอดมวยนักสู้.. สู่ "ผู้พันสมจิตร"

เจ้าของวลีเด็ด "ผมเจ็บมาเยอะ" สมจิตร จงจอหอ ยอดมวยฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากยศร้อยเอกเป็นพันตรี ในสังกัดสำนักสวัสดิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว "จงจอหอ"

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา "พันตรีสมจิตร" ได้เดินทางกลับบ้านที่อำเภอสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ ในชุดเต็มยศ พร้อมนำพวงมาลัย กลับไปกราบเท้าขอพรจากคุณแม่ฝ้าย จงจอหอ ทำให้เกิดภาพที่น่าประทับใจ และน่าภาคภูมิใจกับครอบครัว "จงจอหอ" จากความมุมานะ พยายาม ไม่ย้อท้อกับอุปสรรคของ "สมจิตร" จนนำมาสู่ความสำเร็จ

จุดเริ่มต้นในแวดวงการชกมวยของ "สมจิตร" เริ่มต้นในวัย 8 ขวบ จากเด็กที่อยากได้ของเล่นเป็นปืนแก๊ปสักกระบอก แต่แม่ไม่มีเงินซื้อให้ จึงได้ให้พี่ชายพาไปเปรียบมวยที่งานวัด เพื่อหาเงินมาซื้อของเล่น ก่อนจะชกชนะได้เงินมา 100 บาท และหลังจากนั้น "สมจิตร" ก็ได้ชกมวยที่งานวัดมาโดยตลอด เพื่อนำเงินมาให้แม่จุนเจือครอบครัว

ก่อนเส้นทางของ "สมจิตร" จะมาพลิกผันหลังเรียนจบ ม.3 เมื่อที่บ้านต้องเผชิญปัญหาทางการเงินอย่างหนัก พ่อติดพนันจนเสียทรัพย์สินไปหมด แม่ไม่มีเงินส่งเรียนต่อ "สมจิตร" จึงได้ขอแม่ไปชกมวยอย่างจริงจังตามคำชวนของเพื่อน ที่จังหวัดชลบุรี และได้ต่อยมวยไทยอาชีพครั้งแรกภายใต้ชื่อ "ศิลาชัย ว.ปรีชา" มีค่าตัวขึ้นชกอยู่ที่ 6 หมื่นบาท หลังจากขึ้นชก "สมจิตร" ก็ส่งเงินกลับบ้านไปให้แม่โดยตลอด

เปิดเส้นทางยอดมวยนักสู้.. สู่ "ผู้พันสมจิตร"

จุดผันเปลี่ยนชิวิตของ "สมจิตร" เกิดขึ้นอีกครั้งในวัย 21 ปี เมื่อเส้นทางการชกมวยไทยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเริ่มชกแพ้บ่อยขึ้น จนรู้สึกว่าไม่ใช่ทาง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ลองผันตัวไปต่อยมวยสากลดู ครั้งแรกเข้าร่วมการแข่งขันมวยสากลชิงแชมป์แห่งประเทศไทย โดยมีเดิมพันคือได้คัดตัวเป็นนักกีฬาทีมชาติ ไฟต์แรกผ่านไปได้ด้วยดีด้วยการเก็บชัยชนะ แต่พอไฟต์ที่สองเขากลับต้องเจองานหินเมื่อพบกับยอดมวยอัจฉริยะอย่าง "สมรักษ์ คำสิงห์" ก่อนพ่ายแพ้ไป

แต่ในความพ่ายแพ้ของเขายังมีแสงสว่างเล็กๆ เมื่อฟอร์มการชกดันไปเข้าตา พล.อ.ทวีป จันทรโรจน์ นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นฯ โดยได้ติดต่อให้ "สมจิตร" ไปชกให้ทหารบก บรรจุเป็นทหารพลอาสา รับเงินเดือน เดือนแรก 4,100 บาท นับเป็นจุดเริ่มต้นแรกในอาชีพรับราชการทหาร


เปิดเส้นทางยอดมวยนักสู้.. สู่ "ผู้พันสมจิตร"

ขณะที่ในเส้นทางการชกมวยก็เดินทางควบคู่กันไป มีสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความผิดหวังซะมากกว่า โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในโอลิมปิกเกมส์ ปี2004 ที่เอเธนส์ "สมจิตร" ในวัย 29 ปีตอนนั้น ถูกยกให้เป็นความหวังเทียบเท่ากับ "มนัส บุญจำนงค์" , "วรพจน์ เพชรขุ้ม" และ "สุริยา ปราสาทหินพิมาย" แต่สุดท้าย "สมจิตร" ก็โดนโชคชะตาเล่นงานอีกครั้ง เมื่อเขาพบกับความพ่ายแพ้ ไปไม่พ้นในรอบสอง และดูเหมือนว่า อาจต้องปิดฉากความหวังและความฝันในการคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิก

ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่.. ความคิดล้มเลิกและการแขวนนวมแล่นเข้ามาในหัว แต่สุดท้าย "สมจิตร" ก็กลับคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง ในโอลิมปิกเกมส์ ปี 2008 ที่ปักกิ่ง.. 4 ปีก่อนหน้าเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะลืม แต่ก็ไม่ควรค่าที่จะจดจำ ความพ่ายแพ้ทำให้เขาซุ่มซ้อมและพยายามมากขึ้น จนนำไปสู่ความสำเร็จ เขาคว้าเหรียญทองมาครองให้กับทัพนักกีฬาไทยในวัย 33 ปี 7 เดือน นับว่าเป็นสถิตินักมวยอายุเยอะสุด ที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกในขณะนั้น.. จนเกิดวลีเด็ด "ผมเหนื่อยมาเยอะ ผมเจ็บมาเยอะ" ที่เป็นคำติดหูเมื่อพูดถึงชื่อเขา

ความพ่ายแพ้ในสังเวียน ไม่ได้หมายความว่าจะต้องพ่ายแพ้ในชีวิตจริงเสมอไป.. ในวันนี้ "สมจิตร" มีทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับชีวิตเขาเองในวัยเด็ก เขาเดินทางกลับบ้านไปหาแม่ด้วยชุดผู้พันเต็มยศ และสิ่งที่เขาได้ทำเป็นสิ่งแรกหลังจากถึงบ้าน ก็คือก้มกราบเท้าแม่.. นับเป็นภาพที่น่าปลาบปลื้มใจ.. ด้วยความกตัญญู , ความมุมานะ , ความพยายาม และความอดทนไม่ย้อท้อต่ออุปสรรค ทำให้เขามีความสำเร็จได้ในทุกวันนี้...

เปิดเส้นทางยอดมวยนักสู้.. สู่ "ผู้พันสมจิตร"



เปิดเส้นทางยอดมวยนักสู้.. สู่ "ผู้พันสมจิตร"

เปิดเส้นทางยอดมวยนักสู้.. สู่ "ผู้พันสมจิตร"