
น้องฟีฟ่า หรือเด็กชาย ธนวัฒน์ สุวรรณรัตน์ หนูน้อยวัย 12 ปีคนนี้มีความฝัน และเป็นความฝันที่ถูกจุดประกายโดยชัยชนะและความสำเร็จของนักเตะรุ่นพี่เหล่านี้ เป็นเวลาเกือบ 6 ปีแล้วที่ ฟีฟ่า หรือเด็กชาย ธนวัฒน์ สุวรรณรัตน์ พยายามเดินตามความฝันด้วยการใช้เวลาเกือบทุกเย็นในสนามฟุตบอล
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ฟีฟ่ายอมหันหลังให้กับการสนุกสนานกับเพื่อนๆ เพื่อทุ่มเวลาให้กับฟุตบอลที่สโมสร TSB อะคาเดมี่ แห่งนี้ และคนที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการร่วมปั้นฝันให้กับฟีฟ่าก็คือคุณพ่อ วิจิตรศักดิ์ สุวรรณรัตน์ นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์
ก้าวสำคัญที่รออยู่ข้างหน้าคือโอกาสที่ฟีฟ่าจะได้ทดสอบฝีเท้าเพื่อผ่านเข้าไปอยู่ในโรงเรียนชั้นนำที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลเพื่อเป็นสะพานไปสู่ความฝันสูงสุด นั่นคือการได้รับใช้ชาติในนามนักฟุตบอลทีมชาติไทย
วันนี้เป็นวันที่นักฟุตบอลไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักกีฬา แต่เป็นทั้งดารา เน็ตไอดอลหรือแม้แต่มหาเศรษฐี ไม่ได้ว่า นักฟุตบอล คือสิ่งที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน ภาพลักษณ์ใหม่ของนักฟุตบอลเป็นผลพวงโดยตรงจาการเติบโตแบบก้าวกระโดดของวงการฟุตบอลไทย โดยมีความสำเร็จอันโดดเด่นของฟุตบอลลีกและ"ทีมชาติไทย" เป็นหัวหอกในการสร้างกระแส
"อะคาเดมี่ฟุตบอล" หรือโรงเรียนสอนฟุตบอลที่เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศเป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าฟุตบอลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนไทยไม่น้อยไปแล้ว
และสำหรับคนที่มีความใฝ่ฝัน ฟุตบอลไม่ใช่เพียงแค่กีฬา แต่เป็นอาชีพที่ให้ทั้งรายได้และเกียรติยศมากพอที่ทำให้พ่อแม่จำนวนไม่น้อยพร้อมจะส่งเสริมให้ลูกๆ เดินบนเส้นทางนี้
ธรรศพงศ์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ มีความเชื่อมั่นในอนาคตของวงการฟุตบอลไทยมากพอที่จะยอมทุ่มตัวเองให้กับการช่วยสานฝันเส้นทางลูกหนังให้กับเยาวชน เริ่มต้นจากการอะคาเดมี่ฟุตบอลเล็กๆ ย่าน รามอินทรา จนเติบโต เป็นแกนหลักในการรวมเอาอะคาเดมี่ฟุตบอลทั่วประเทศที่มีมากกว่า2000 แห่ง เป็นสมาคมอะคาเดมี่ฟุตบอล แห่งประเทศไทย เป้าหมายคือการร่วมวางมาตรฐานและแนวทางการฝึกสอนฟุตบอลแก่เด็กและเยาวชน
สุรักษ์ ไชกิติ ตำนานแบ็คซ้ายทีมชาติไทยผู้ผันตัวเองมาเป็นโค้ชฟุบอลสอนเด็กๆบอกกับไพรม์ไทม์ว่า อะคาเดมี่ที่ดี ควรจะเน้นคุณภาพในการเรียนการสอนมากกว่ารายได้และจำนวนเด็กที่มาเรียน
ถึงแม้การก้าวเข้าสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพจะเป็นความฝันของเด็กๆ หลายคน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึงความฝันนั้นได้ เพราะฉะนั้น อะไรที่จะเป็นสิ่งที่จะทำให้ความฝันเป็นจริงได้
ค่าใช้จ่ายในการเรียนฟุตบอลในอะคาเดมี่หรือสถาบันสอนฟุตบอลต่างๆอยู่ที่ ประมาณ 1,000-2,500 บาท ต่อเดือน นอกเหนือจากค่าอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้อย่าง รองเท้าฟุตบอลซึ่งอยู่ที่ประมาณ 700-3,500 บาทต่อคู่ ค่าชุดกีฬาอีกประมาณ 500-1,500 บาท และก็ยังมีค่าถุงเท้า สนับแข้งและถุงมือผู้รักษาประตู ซึ่งตกประมาณประมาณ 100-1,500 บาท ซึ่งเท่ากับว่าการที่จะส่งลูกเรียนฟุตบอลแต่ละหลักสูตรต้องมีค่าใช้จ่ายถึง 2,300- 9000 บาท
ถึงแม้ค่าใช่จ่ายอาจไม่ใช่อุปสรรคมากนักสำหรับพ่อแม่ที่พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกหลานได้ออกกำลังกายและสร้างโอกาสในด้านกีฬา แต่คำถามคืออะไรเป็นแรงผลักดันที่แท้จริงที่ทำให้ผู้ปกครองเหล่านี้เห็นอะคาเดมี่ฟุตบอลเป็นทางเลือกให้กับเด็กๆ
ดช.อนุมัติ สีวงษ์แก้ว เป็นอีกคนที่ใช้การเล่นฟุตบอลเป็นทั้งโอกาสที่จะใกล้ชิดกับพ่อแม่ และสร้างฝันในเวลาเดียวกัน
อะคาเดมีฟุตบอลอาจจะเป็นสิ่งที่เอื้อมไม่ถึงสำหรับเด็กๆ ด้อยโอกาสส่วนใหญ่ แต่ สุนทร นาเมืองรักษ์ มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ความฝันของเด็กเหล่านี้เป็นจริงสุนทร ไม่ใช่นักฟุตบอลอาชีพ เขาเป็นเพียงพ่อค้าที่มีใจรักในศาสตร์ลูกหนัง และเคยมีความฝันที่จะทำธุรกิจด้านฟุตบอลถึงขั้นลงทุนเข้าอบรมเพื่อเป็นโค้ชฟุตบอลแต่วันที่สุนทรพบกับเด็กๆ ในชุมชนคลองเจ้า จ.ฉะเชิงเทรา ความคิดของเขาก็เปลี่ยนทันที
สุนทร ใช้พื้นที่สนามหญ้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชุมชนคลองเจ้า เป็นที่ฝึกสอน ทุกๆ วัน บ่าย3โมง หลังปิดร้านที่ตลาดสุวินทวงศ์ สุนทรจะรีบขับรถเพื่อที่สนามแห่งนี้ และตั้งใจเป็นตัวอย่างของการรักษาระเบียบวินัยด้วยการเดินทางมาถึงก่อนเด็กๆลูกศิษย์กว่า 50 คนของ สุนทร ส่วนใหญ่เป็นเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนละแวกนี้สุนทรแสดงให้เห็นว่าเงินไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการทำจิตอาสาแต่ก็ยอมรับว่าสิ่งที่อยู่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันง่ายๆหากไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดี
ชุมชนคลองเจ้าเป็นหนึ่งในชุมชนที่ประสบปัญหาการระบาดของยาเสพติด และมีภาพลักษณ์ไม่ดีนัก ตั้ม หรือเด็กชาย ธีรวัฒน์ ชาจุหลัน ซึ่งคลุกคลีอยู่ในชุมชน เป็นหนึ่งในเด็กๆ ที่ได้รับโอกาสจาก สุนทร ในการเล่นฟุตบอลเพื่อให้ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้
แม้ทุกวันนี้สิ่งที่ สุนทร ทำอยู่จะไม่ใช่สิ่งที่สามารถตอบแทนทางรายได้ของตัวเองได้นั้น แต่การได้เห็นลูกศิษย์ของตนเติบโตบนเส้นทางที่ถูกต้องและห่างไกลจากอบายมุขต่างๆ แค่นั้นก็เกินพอแล้วสำหรับชายคนนี้