svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าวประชาสัมพันธ์

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน 

Nation มีโอกาสพูดคุยเชิงลึกกับ ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) หน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ บทสนทนานี้ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ตั้งแต่การพลิกโฉมรถพยาบาลธรรมดาให้กลายเป็น "ห้องฉุกเฉินเคลื่อนที่อัจฉริยะ" ด้วยเทคโนโลยี 5G ไปจนถึงการถักทอโครงข่ายเมืองอัจฉริยะที่ครอบคลุมการใช้ชีวิตและการทำมาหากินของคนไทยในทุกมิติ

 

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน 

[ 5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน ] 

 

"เทคโนโลยี 5G ที่แท้จริง ไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ในโทรศัพท์มือถือเพื่อการบริโภคหรือความบันเทิง" ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)  เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการฉายภาพใหญ่ "ศักยภาพที่แท้จริงของมันอยู่ที่การนำไปใช้ในภาคองค์กร (Enterprise Use) เพื่อสร้างผลิตภาพ (Productivity) ที่จับต้องได้"

 

ที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)  เล็งเห็นว่าโครงสร้างพื้นฐาน 5G ของไทยซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 95% ถือเป็นขุมทรัพย์ที่รอการนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรมซึ่งอาจยังไม่พร้อมลงทุนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว depa จึงเบนเข็มมาสู่ภาคบริการสาธารณะที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในวงกว้าง และ "รถพยาบาลฉุกเฉิน" ก็คือโจทย์ที่ตอบทุกความต้องการ

 

จากตัวเลขสถิติชี้ชัดว่า ในแต่ละปีมีการใช้บริการรถการแพทย์ฉุกเฉินมากกว่า 2.2 ล้านครั้ง แต่กลับมีผู้เสียชีวิตในสถานการณ์ฉุกเฉินสูงถึงกว่า 5,600 ราย ปัญหาสำคัญคือ "ความล่าช้าในการสื่อสารข้อมูล" จากรถพยาบาลสู่ทีมแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งในอดีตอาจล่าช้าถึง 5-10 วินาที ซึ่งในภาวะวิกฤต ช่องว่างเพียง 2 วินาทีอาจหมายถึงการสูญเสียชีวิต

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน 

ด้วยเหตุนี้ โครงการ 5G Ambulance จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อทำลายข้อจำกัดดังกล่าวโดยสิ้นเชิง ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยี 5G ที่มีเสถียรภาพและเราเตอร์ประสิทธิภาพสูงบนรถพยาบาล ผสานกับระบบการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งประกอบด้วย:

 

  • เครื่องติดตามสัญญาณชีพระยะไกล: ส่งข้อมูลชีพจร ความดันโลหิต ออกซิเจนในเลือด แบบเรียลไทม์
  • กล้องความละเอียดสูง: ทั้งภายในรถและที่ติดตัวเจ้าหน้าที่ ช่วยให้แพทย์เห็นสภาพผู้ป่วยและสถานการณ์จริง
  • แพลตฟอร์มกลาง: บริหารจัดการข้อมูลทั้งหมดอย่างปลอดภัยและเป็นระบบ

 

"มันคือการยกทีมแพทย์ฉุกเฉินไปอยู่กับผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ" ผศ.ดร.ณัฐพล อธิบาย "แพทย์ที่โรงพยาบาลสามารถสั่งการและให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่บนรถได้ทันที เสมือนกับยืนอยู่ต่อหน้าผู้ป่วย ทำให้การตัดสินใจฉีดยากระตุ้นหัวใจ หรือการปั๊มหัวใจ เป็นไปอย่างแม่นยำและทันท่วงที เพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมหาศาล"

 

ยิ่งไปกว่านั้น โครงการนี้ยังนำไปสู่การสร้างมาตรฐานให้กับอุปกรณ์การแพทย์ และดึงดูดให้ขึ้นทะเบียนบนบัญชีบริการดิจิทัล แหล่งรวบรวมสินค้า/บริการดิจิทัลจากผู้ประกอบการและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทยที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นไปตามข้อกำหนดด้านคุณภาพ ราคาสมเหตุสมผล และเป็นไปตามมาตรฐาน dSURE หรือ Digital Sure ตราสัญลักษณ์ที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์/บริการที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัย (Safety) ความสามารถในการทำงาน (Functionality) และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) พร้อมกันนี้ยังทำให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดจ้างได้ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงตามระเบียบพัสดุ เนื่องจากมีการกำหนดราคากลางที่ชัดเจน เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐในอนาคต นับเป็นการยิงปืนนัดเดียวที่ได้นกถึงสามตัวคือ ประชาชนรอดชีวิต เทคโนโลยีได้มาตรฐาน และป้องกันการทุจริต

[ ความท้าทายสี่ประการ: ก้าวข้ามอุปสรรคบนเส้นทางสู่ดิจิทัล ]

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน 

การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาปรับใช้ในระบบราชการที่ซับซ้อนย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์  ได้สะท้อนถึงความท้าทาย 4 ประการที่เปรียบเสมือนบททดสอบสำคัญของโครงการนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

 

1. การทลายกำแพงความคิด: จาก "ไซโล" สู่การทำงานแนวราบ 

"ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ Mindset" ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวอย่างตรงไปตรงมา "การทำงานแบบไซโล (Silo) ที่ต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการข้ามหน่วยงาน คืออุปสรรคสำคัญ" บุคลากรทั้งใน depa เองและหน่วยงานสาธารณสุขต่างตั้งคำถามถึงบทบาทหน้าที่ของตนเอง นำไปสู่ความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ความคุ้นชิน (Used to) กับวิธีการทำงานแบบเดิมๆ ทำให้หลายคนไม่ต้องการปรับตัว "ทุกคนเคยกดปุ่ม A จนหลับตาก็กดได้ พอจะให้มาคลำหาปุ่ม Z มันก็ต้องฝืนใจ"

 

แนวทางการแก้ไข: การสื่อสารที่ชัดเจนถึงเป้าหมายร่วมกันคือ "การช่วยชีวิตประชาชน" เป็นสิ่งสำคัญที่สุด depa ต้องทำงานเชิงรุกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นเครื่องมือสำหรับ "ทุกคน" เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม การเปลี่ยนวิธีคิดจากการทำงานแนวดิ่ง (Vertical) มาสู่แนวราบ (Horizontal) ที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน คือหัวใจของการขับเคลื่อนโครงการให้สำเร็จ

 

2. โครงสร้างพื้นฐานและจุดอับสัญญาณ: ความจริงที่ต้องยอมรับ 

แม้เครือข่าย 5G จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ แต่ในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร หรืออุทยานแห่งชาติ ย่อมมี "จุดอับสัญญาณ" เป็นธรรมดา การมีโซลูชันที่ดีที่สุดในโลกจะไร้ความหมายหากปราศจากสัญญาณในการเชื่อมต่อ

 

แนวทางการแก้ไข: ผศ.ดร.ณัฐพล ยอมรับว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องเดินคู่ขนานไปกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในระยะแรก โครงการจะมุ่งเน้นในพื้นที่ที่มีสัญญาณ 5G ครบถ้วนก่อน สำหรับพื้นที่ห่างไกล อาจต้องพิจารณาใช้เทคโนโลยีอื่นเสริม เช่น LoRa หรือ NB-IoT ซึ่งเป็นการตั้งเสาย่อยเฉพาะจุด "ในบางพื้นที่ที่ไม่มีผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ เช่น เพื่อความมั่นคง หรือการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ รัฐอาจจำเป็นต้องเข้ามาลงทุน (Subsidy) ในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่"

 

3. งบประมาณและความโปร่งใส: สร้างมาตรฐานเพื่อส่วนรวม

ปัญหาเรื่องงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญ ความพยายามในการกำหนด "ราคากลาง" และ "มาตรฐาน" ของอุปกรณ์ มักเผชิญกับแรงต้านจากผู้ที่ต้องการให้ราคามีความยืดหยุ่น ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้

 

แนวทางการแก้ไข: การผลักดันให้อุปกรณ์และบริการในโครงการ 5G Ambulance ถูกบรรจุอยู่ใน "บัญชีบริการดิจิทัล" คือกลไกสำคัญที่จะสร้างความโปร่งใส เมื่อมีมาตรฐานและราคาอ้างอิงที่ชัดเจน หน่วยงานภาครัฐจะสามารถจัดซื้อจัดจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการทุจริต และทำให้การใช้งบประมาณแผ่นดินที่จำกัดเกิดประโยชน์สูงสุด "เมืองไทยต้องเข้าสู่ระบบ Standard เดียวกัน เพื่อให้เกิด Good Governance ในการทำงาน"

 

4. การพัฒนาบุคลากร: เทคโนโลยีจะไร้ค่าหากคนใช้ไม่เป็น

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดก็เป็นเพียงเศษเหล็กหากผู้ใช้งานไม่สามารถดึงศักยภาพของมันออกมาได้ บุคลากรทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่แพทย์ พยาบาล พนักงานขับรถ ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งเหตุ (IOC) จำเป็นต้องได้รับการอบรมและพัฒนาทักษะใหม่

 

แนวทางการแก้ไข: ต้องมีการจัดอบรมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าอุปกรณ์ต่างๆ เชื่อมโยงกันอย่างไร และใช้งานอย่างไรให้ถูกต้องและปลอดภัยที่สุด ผศ.ดร.ณัฐพล เน้นย้ำว่า "ทุกคนต้องได้รับการ Upskill" และสิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การ "เรียน" แต่คือการ "ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและถูกวิธี" เพื่อให้ภารกิจช่วยชีวิตในนาทีวิกฤตมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

[ จากรถพยาบาลสู่เมืองอัจฉริยะ: วิสัยทัศน์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย ]

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน 

โครงการ 5G Ambulance ไม่ใช่โครงการที่โดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในภาพใหญ่ของการพัฒนา "เมืองอัจฉริยะ (Smart City)" ในมิติของ "การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living)" ซึ่งมุ่งเน้นให้ประชาชนอยู่แล้วมีความสุข ปลอดภัย และเข้าถึงบริการสาธารณะได้อย่างทั่วถึง

 

เป้าหมายของ DEPA ไม่ใช่แค่การติดอุปกรณ์บนรถพยาบาล แต่คือการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรม 5G ของประเทศ 

 

"เมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ต้นทุนเทคโนโลยีก็จะถูกลง ประชาชนก็จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น"

 

DEPA มีแผนขยายผลโครงการ 5G Ambulance จาก 40 คัน ใน 11 จังหวัดปีนี้ สู่เป้าหมาย 100 คัน ในปีหน้า และครอบคลุมให้ได้ 3,000 คัน ภายใน 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินได้ถึง 56,000 รายต่อปี และสร้างมูลค่าการลงทุนจากภาคเอกชนได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท

 

นอกเหนือจากด้านสาธารณสุข depa ยังต่อยอดวิสัยทัศน์ Smart Living ไปสู่มิติอื่นๆ เช่น:

 

  • ความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security): สนับสนุนการติดตั้งกล้อง AI (Smart Camera) ในชุมชน ที่สามารถตรวจจับเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น คนล้ม หรือการบุกรุก และให้อำนาจชุมชนในการบริหารจัดการดูแลกันเอง

 

  • การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming): ส่งเสริมการใช้โดรนเพื่อการเกษตรและรถแทรกเตอร์อัจฉริยะ โดย depa สนับสนุนครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่าย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พร้อมสร้างมาตรฐานและราคาอ้างอิงเช่นเดียวกับโครงการ 5G Ambulance เพื่อป้องกันการทุจริต และส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันทรัพยากร (Sharing Economy) สร้างอาชีพใหม่ในชุมชน

 

"เป้าหมายของเราคือการทำให้ชุมชนพึ่งพาตัวเองได้และเข้าใจเทคโนโลยีจากการลงมือใช้จริง ไม่ใช่การบังคับอบรมในห้องเรียน" ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย "เมื่อเกษตรกรเห็นประโยชน์ของโดรน เขาก็จะเริ่มใช้งาน เมื่อชุมชนเห็นประโยชน์ของกล้องวงจรปิด เขาก็จะเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการมันด้วยตัวเอง นี่คือการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง"

 

[ อนาคตของการแพทย์ฉุกเฉิน: สู่ "หน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์อัจฉริยะ"] 

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน 

เมื่อมองไปในอนาคต ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ หัวเรือใหญ่ของ DEPA เชื่อมั่นว่า "ดิจิทัล" จะยกระดับบริการการแพทย์ฉุกเฉินไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ รถพยาบาลจะไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่จะวิวัฒนาการไปสู่การเป็น "หน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์อัจฉริยะ" (Intelligent Medical Unit) ที่หลอมรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไว้ด้วยกัน:

 

ปัญญาประดิษฐ์ (AI): AI จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลสัญญาณชีพและภาพจากกล้องแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยทีมแพทย์วินิจฉัยอาการเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น

 

เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (AR): แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลอาจสวมแว่นตา AR เพื่อมองเห็นภาพเดียวกับเจ้าหน้าที่ภาคสนาม และสามารถซ้อนทับภาพกราฟิกเพื่อแนะนำตำแหน่งการฉีดยาหรือการทำหัตถการที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ

 

โดรนเพื่อการแพทย์ฉุกเฉิน (Medical Drone): ในสถานการณ์ที่รถพยาบาลเข้าถึงได้ยาก เช่น ภาวะน้ำท่วม หรืออุบัติเหตุในพื้นที่ทุรกันดาร โดรนจะถูกส่งไปเพื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้น หรือแม้กระทั่งนำส่งอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่จำเป็น เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) หรือยารักษาโรคให้ถึงตัวผู้ป่วยก่อนที่ทีมแพทย์จะไปถึง

 

ในสายตาของ ผศ.ดร.ณัฐพล มองว่า เทคโนโลยีดิจิทัลและ 5G ไม่ใช่เพียงนวัตกรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจ 

 

แต่คือเครื่องมืออันทรงพลังที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยให้ภารกิจการรักษาชีวิตในนาทีวิกฤตของพวกเขามีประสิทธิภาพและสะดวกสบายยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบสาธารณสุข และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน  5G Ambulance: เมื่อทุกวินาทีคือชีวิต เทคโนโลยีคือหัวใจของการแพทย์ฉุกเฉิน