
และเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปี 2566 คิดเป็น 8.4% จากภาระหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนไทยปี 2566 ที่เฉลี่ย 559,408 บาทต่อครัวเรือน โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ในระบบ 69.9% และอีก 30.1% เป็นหนี้นอกระบบ
ผลสำรวจยังพบว่า สาเหตุที่ผู้คนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น 10 อันดับแรก คือ
1.รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 14%
2.มีเหตุไม่คาดคิดที่ต้องใช้เงินฉุกเฉิน 12.4%
3.ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น 12%
4.ภาระทางการเงินของครอบครัวสูงขึ้น 11.2%
5.ล้มเหลวจากการลงทุน 9.7%
6.ลงทุนประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น 8.8%
7.ซื้อสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 7.7%
8.ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น 7%
9.ค่าเล่าเรียนของบุตรหลาน 4.1%
10.ขาดรายได้ เนื่องจากถูกออกจากงาน 3.9%
โดยวิธีแก้ปัญหา กรณีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย พบว่า 55% ใช้วิธีกู้ยืมจากแหล่งต่างๆ , 25.1% ใช้วิธีประหยัดและลดค่าใช้จ่าย , 10.4% ดึงเงินออมออกมาใช้ และ 9.5% หารายได้เพิ่ม
ขณะที่การกู้ยืมที่นิยมที่สุด คือ การกดเงินสดจากบัตรเครดิต 24.8% รองลงมาคือ กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ 23.7% , กู้เงินจากธนาคารเฉพาะกิจ 21.2% , การจำนำสินทรัพย์ 7.9% ตามลำดับ
ที่สำคัญพบว่า 71.6% เคยมีปัญหาผิดนัดชำระหนี้
จากผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนสภาวะหนี้ครัวเรือนกำลังมุ่งเข้าสู่วิกฤต
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนคนไทยอย่างยั่งยืน ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ว่า
ปัญหาหนี้ครัวเรือน ตามหลักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เราเริ่มต้นจากพื้นฐานการกู้หนี้ยืมสิน โดยทั่วไปมนุษย์ในชีวิตหนึ่ง แบ่งช่วงชีวิตออกเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ คือ 1.วัยเรียน 2.วัยแรงงาน และ 3.สูงวัย
ในช่วงที่เราจะหารายได้ โดยมากจะอยู่ที่ช่วงที่ 2 คือ วัยแรงงาน พื้นฐานของเราจะได้เงินมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าช่วงวัยแรงงาน เราทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน
แต่สิ่งสำคัญคือ ในทางวิชาการ เราพบว่าช่วงที่เราเป็นเด็ก ถ้าเราได้มีการศึกษาสูงๆ ก็มักจะมีโอกาสได้งานที่ดี รายได้เราก็จะเยอะตามไปด้วย จึงนำไปสู่สูตรแรกเลย เป็นเรื่องของการกู้หนี้ยืมสินเพื่อการศึกษา ในทางเศรษฐศาสตร์เราจะเรียกการกู้ยืมลักษณะนี้ เป็นเรื่องของการลงทุน คือ ยอมจ่ายไปก่อน แต่ท้ายที่สุดจะทำให้เราหางานได้ดีขึ้น รายได้ตลอดช่วงชีวิตของเราก็ดีขึ้น
เรื่องของการเกิดหนี้ ที่มาจากเรื่องการจับจ่ายใช้สอย ช่วงที่เราเป็นแรงงาน บางคนอยากได้โน่นได้นี่ ซึ่งไม่ผิดถ้าเราสามารถหารายได้มาคลุมได้ ซึ่งตรงนี้การกู้หนี้ยืมสินจะเป็นเรื่องของ Consumption หรือการใช้หมดไป เป็นส่วนใหญ่ เราก็จะไปกู้หนี้ยืมสินมา แทนที่เราจะเก็บสะสม หรืออดออม อย่างการซื้อรถ ถ้าเราอดออม กว่าจะได้ใช้รถก็นาน แต่ถ้าเรากู้หนี้ยืมสินเลย เราก็สามารถใช้ได้เลยในวันนี้ แต่ข้อเสียก็คือ ต้องผ่อนระยะยาว และต้องผ่อนมากกว่าราคาของรถคันนี้ เพราะต้องเสียดอกเบี้ยด้วย
ส่วนผู้สูงวัย ในวัยเกษียณ จะไม่มีรายได้ ตรงนี้แทนที่จะไปกู้หนี้ยืมสิน จริงๆ ต้องสะสมเงินเอาไว้ ตั้งแต่ช่วงวัยแรงงาน เพื่อให้เราใช้ในช่วงวัยเกษียณอายุ
วิถีชีวิตหนี้ครัวเรือนในทางเศรษฐศาสตร์
ถ้าเราทำทุกอย่างอย่างเหมาะสม จะเห็นวิถีชีวิตที่ดีที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ คือ
1.เรื่องการลงทุน ทำยังไงก็ได้ ที่จะทำให้รายได้เราในอนาคตเราเพิ่มขึ้น อย่างที่ยกตัวอย่าง คือ ตอนเด็กๆเราเรียนให้การศึกษาสูงๆ พอมีเงิน เราก็สามารถทำได้ หรือ เราซื้อรถจักรยานยนต์มาเพื่อใช้รับส่งพัสดุ รับส่งอาหาร ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นการก่อหนี้ยืมสิน ถ้าเป็นส่วนที่มีการลงทุน มันไม่มีปัญหา ยิ่งกู้มายิ่งดี เพราะในอนาคตเราสามารถหาเงินมาได้มากขึ้น
2.หนี้ในส่วนที่ไม่ดี คือ หนี้เพื่อการบริโภค จริงๆ แล้ว แทนที่จะกู้เพื่อบริโภค ในทางเศรษฐศาสตร์เราย้ำเตือนเสมอว่า มันจะมีช่วงหนึ่งที่คุณทำงานไม่ได้ คือ ช่วงสูงอายุ ฉะนั้นแทนที่จะกู้เพื่อบริโภค จริงๆแล้วคุณต้องอดออม สะสมโภคทรัพย์ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในยามเกษียณได้
นี่คือประเด็นปัญหา ถามว่าวิกฤตเรื่องหนี้เกิดได้อย่างไร คำตอบคือเกิดจากความไม่สมดุลตรงนี้ แทนที่เราจะเอาเงินมาลงทุน แต่ปรากฏว่าเราเอาไปลงในส่วนที่เป็นการบริโภค ซึ่งมันขัดหลักทฤษฎี
ปัจจัยภายนอกซ้ำเติมวิกฤตหนี้ครัวเรือน
ยิ่งเมื่อถูกซ้ำเติมด้วยปัจจัยหลักภายนอก สมัยก่อนเวลาเกิดวิกฤตต่างๆมักจะเกิดไม่บ่อยครั้ง ยกตัวอย่าง เราเคยเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997 เราเคยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐ ปี 2007 และมาเกิดโควิด-19 ปี 2020 จะเห็นได้ว่าวิกฤตต่างๆ เกิดขึ้นเฉลี่ย 7-10 ปีต่อครั้ง
แต่พอหลังโควิดมา มันเกิดประเด็นปัญหาที่ปัญหาวิกฤตของโลก เกิดขึ้นซ้ำซ้อนกัน จะเห็นว่าพอโควิด ปัญหาหนี้ยังไม่ได้แก้ไข และจริงๆควรจะเจอวิกฤตอีกครั้งประมาณปี 2030 แต่กลับกลายเป็นว่า เราเจอปัญหาซ้ำซ้อน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือแม้แต่ภาษีของทรัมป์ที่เข้ามาประดังประเด ปัจจัยตรงนี้ทำให้ความคาดหมายในเรื่องของการแก้ไขปัญหาผิดพลาด พูดง่ายๆคือ จากที่เราคิดว่านานๆทีถึงจะเกิดวิกฤต แล้วเราพอจะมีเวลาที่จะแก้ปัญหา แต่กลายเป็นว่าปัญหามันซ้ำซ้อนเข้ามาเรื่อยๆ
ซ้ำร้ายถ้าเราดูศักยภาพของภาครัฐในสมัยก่อน ถ้าเราเทียบกับเมื่อ 10-30 ปีก่อนโควิด จะพบว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่สถานะทางการคลังดี มีหนี้สินน้อย พอเกิดวิกฤต รัฐบาลสามารถกู้หนี้ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาได้
ซึ่งในช่วงโควิดที่ผ่านมามี พ.ร.ก.5 แสนล้าน , 1.5 ล้านล้าน ฯลฯ เต็มไปหมด เพราะตอนนั้นมีหนี้ต่ำ
แต่ปัจจุบันตอนนี้ก็เป็นปัญหาเดียวกัน ที่ซ้ำเติมวิกฤตเกิดถี่แล้ว ยังเกิดประเด็นปัญหาคือ หนี้สาธารณะของเราขึ้นสูงมาก จากที่เคยอยู่ประมาณ 45% ตอนนี้อยู่ประมาณ 65% และถ้าเรามองแผนการคลังในอนาคต เราพบว่ารัฐมีแผนจะใช้ถึง 70% แล้ว ก่อนที่เราจะมาเจอภาษีทรัมป์เสียอีก รัฐขาดศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดิม มันกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ วิกฤตมาซ้ำๆ กัน แถมประชาชนมีพฤติกรรมที่ผิดไปจากหลักทฤษฎีอีก ก็เลยนำไปสู่ประเด็นปัญหาหนี้ที่มีภาระพัวพันอยู่ตอนนี้
มุมมองการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ในระบบ-นอกระบบ
เมื่อถามถึง กรณีการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระบบและนอกระบบ ภาครัฐหรือกระทรวงการคลังจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร ดร.นณริฏ พิศลยบุตร กล่าวว่า แต่ละคนมีคำตอบได้หลากหลาย มุมมองของตน คือ พื้นฐานเรื่องการกู้หนี้ยืมสินที่สำคัญ คือ มีหนี้ต้องจ่ายหนี้ ถามว่าทำไม เพราะทุกๆ หนี้ที่เกิดขึ้น คือการตกลงกันระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ไม่ใช่มีใครเอาปืนไปจ่อหัวและบอกให้เซ็น แต่เป็นการตกลงของทั้ง 2 ฝ่าย ยืมเท่านี้ อัตราดอกเบี้ยเท่านี้ ถ้าเป็นในระบบอัตราดอกเบี้ยจะถูกหน่อย ถ้าเป็นนอกระบบคุณก็รู้อยู่แล้วว่า ดอกเบี้ยจะสูงหน่อย
ถ้าภาครัฐเข้ามาช่วย มันมีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำลายหลักการนี้ พูดง่ายๆ คือ ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกหนี้เห็นว่า ถ้าฉันไม่จ่าย เดี๋ยวภาครัฐก็เข้ามาอุ้ม แก้หนี้ให้ กลายเป็นลูกหนี้ต่างๆ ไม่มีแรงจูงใจที่จะแก้ไขปัญหา ไม่มีแรงจูงใจที่จะคืนหนี้ ซ้ำร้ายยังทำให้กลุ่มคนที่ประพฤติดี ทำตามหลักการ จ่ายหนี้ กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ เพราะสถานะเขาเป็นปกติ ในแง่นี้ถ้าภาครัฐอยากจะเข้ามาช่วย ผมคิดว่าทำได้ แต่ต้องทำให้เบาบางที่สุด
ทำมากเกินไปจะไปทำลายหลักการ จะทำให้เกิดวิกฤตที่มากกว่านั้น ท้ายที่สุด คนก็จะไม่ยินดีที่จะจ่ายหนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ระบบการเงินต่างๆ เราจะมีปัญหาเต็มไปหมดเลย ดังนั้นในหลักการ รัฐสามารถทำได้ แต่ก็ทำได้อย่างจำกัด
รัฐบาลทำอะไรได้บ้าง
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีไอเดียที่พยายามทำกันเรื่อยๆ อยู่แล้ว แต่ก็ควรพยายามทำต่อ เช่น
1.ตัวไหนเป็นหนี้นอกระบบ ถ้าเป็นไปได้ ก็ดันเข้ามาให้อยู่ในระบบ เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง ถ้าทำได้จะดี เคยมีโครงการของธนาคาร ที่ให้ลูกหนี้นอกระบบมาลงทะเบียน เดี๋ยวธนาคารปิดให้ แล้วลูกหนี้ก็มาใช้หนี้กับธนาคาร เพื่อให้ดอกเบี้ยถูกลง อันนี้เป็นตัวอย่างที่ควรทำ
2.ลักษณะคุณสู้เราช่วย การช่วยลูกหนี้ลดภาระค่างวดและดอกเบี้ย ตอนนี้ก็ยังเปิดอยู่ จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้จ่าย ช่วยลดต้นลดดอกเบี้ย โดยที่คุณต้องปรับพฤติกรรมด้วย จ่ายให้ตรงเวลา มีการตั้งเงื่อนไข เพื่อให้ยอดหนี้เบาบางลง มีเงื่อนไขที่ดีขึ้น อันนี้เป็นอีกอันหนึ่งที่ดำเนินการอยู่ และเป็นเส้นทางที่ควรจะเดินต่อไป
3.เรื่องของการพิจารณาถึงความไม่เป็นธรรมในเรื่องของการคิดอัตราดอกเบี้ย ผมเข้าใจว่าทำแล้ว คือ สมัยก่อนเมื่อไหร่ก็ตามที่ผิดนัดชำระหนี้ สมมุติว่ามีหนี้อีก 12 งวดจะครบ ปรากฏว่าขาดส่งงวดล่าสุดไป สมัยก่อนเวลาคิดดอกเบี้ยเขาจะคิดบนฐานของทั้ง 12 งวดเลย ก็คิดดอกเบี้ยสูงไป ผมคิดว่าการพิจารณาความเหมาะสมของสัญญา รวมทั้งค่าปรับ มันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการลดภาระได้ เป็นช่องว่างที่สามารถศึกษาได้
4.ในเรื่องของการปล่อยสินเชื่อ ต้องเข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันธนาคาร และสถาบันการเงิน มีการขยายสินเชื่อได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังมีตัวเล็กตัวน้อยที่เข้าไม่ถึง ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาตรงที่ พอเขาเข้าไม่ถึง แต่พออยากเข้าทำให้ต้องกู้หนี้นอกระบบ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการรวบรวมข้อมูลให้เป็น BIG DATA และทำเครดิตสกอริ่ง หรือคะแนนเครดิต อย่างในต่างประเทศ เพื่อให้ตัวเล็กๆ ย่อยๆ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ในดอกเบี้ยที่ถูกลง ถ้าทำอย่างนี้ได้ เขาก็สามารถแก้ปัญหาได้
5.การให้ความรู้ด้านการเงิน เป็นสิ่งที่ควรทำมาตลอด พื้นฐานที่ผมพูดให้ฟังในตอนแรก เรื่องการก่อหนี้ยืมสินมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้แล้วหมดแล้ว กับกลุ่มที่นำมาลงทุน รวมทั้งการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้สูงอายุ โดย 3 ตัวนี้เป็นพื้นฐานเลยที่คนโดยมากยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นการให้ความรู้ทางด้านการเงินก็เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน
บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับหน่วยงานที่จะต้องเข้ามาร่วมแก้ไขกับภาครัฐหรือกระทรวงการคลัง ต้องบอกก่อนว่า หนี้มีหลายประเภท ต้องถามว่าเราจะแก้หนี้ตรงไหน หนี้ครู หนี้ กยศ. สมมุติว่าในเรื่องของหนี้ครัวเรือนผมเข้าใจว่า ตัวใหญ่เลยก็จะเป็นเรื่องของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่ดำเนินการอยู่แล้ว รวมถึงนายธนาคารต่างๆ ที่เป็นเจ้าหนี้ ถ้าเป็นไปได้ดึงกลุ่มนี้มาร่วมกับกระทรวงการคลัง วางกลยุทธ์ และยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
อาจดึงสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใส่เข้าไว้ใน แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 (พ.ศ. 2571-2575) เกี่ยวกับวิธีการที่เหมาะสม
เครดิตบูโรสะท้อนความเสี่ยงของระบบ
ส่วนปัญหาเครดิตบูโร เป็นการสะท้อนสถานการณ์ โดยมากคือ การให้ข้อมูลว่าใครผิดนัดชำระ ใครไม่ผิดนัดชำระ แต่ก็เป็นตัวสะท้อนความเสี่ยงของระบบได้ว่า หนี้แต่ละแบบมีมากน้อยแค่ไหน แต่แนวทางการแก้ไขจะไม่ได้อยู่ที่เครดิตบูโร
แต่สิ่งที่ผมกังวลใจอีกตัวหนึ่งก็คือ อย่าไปแก้ไขแบบลูบหน้าปะจมูก คือ มีหนี้ต้องจ่ายหนี้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ถ้าเขายังพอไปได้ ต้องหาทางให้เขาใช้หนี้ได้มากที่สุด
กำหนดเกณฑ์การช่วยที่ชัดเจน เฉพาะกลุ่มพยายามต่อสู้แต่ไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ ต้องยอมรับก่อนว่า ทั้งวิกฤตโควิด แผ่นดินไหว และภาษีทรัมป์ มันเข้ามาพร้อมๆ กัน ในแง่นี้มันมีมุมที่ภาครัฐอยากจะช่วย ก็สามารถช่วยเคลียร์หนี้ให้กับธุรกิจบางส่วนได้ แต่ต้องเป็นกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มทั่วๆ ไป แต่ต้องเป็นกลุ่มเฉพาะที่อาจเจอหนี้ตอนโควิดแล้วพยายามต่อสู้ แต่ต่อสู้ไม่ได้ ก็อาจเข้าไปดูและไปช่วยลดหนี้ให้เขาเป็นจุดๆ ไป แต่ไม่ควรให้ทั่วๆ ไป ตรงนี้ต้องมีเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าเขาพยายามแล้ว และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ แล้วถึงจะมีมุมเข้าไปช่วย
ค้นหาวิธีการสร้างรายได้ยั่งยืน ไม่ลูบหน้าปะจมูก
ส่วนการช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ต้องถามว่าเข้ามาในลักษณะไหน อย่างการสร้างรั้ว ทาสี อบต. แล้วเกิดงานเกิดอาชีพ ถามว่าเงินลักษณะนี้มีความยั่งยืนหรือเปล่า ผมไม่ปฏิเสธว่าในทฤษฎีสามารถทำได้ แต่โลกปัจจุบันความท้าทายทางเศรษฐกิจมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แล้วตอนนี้เรากำลังเข้าสู่สถานะ Upper - middle – income คือ รายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง แปลว่า เครื่องมือพื้นฐานในการที่รัฐเข้ามาแทรกแซงจะน้อยมาก ถามว่าทำได้ไหม คือ ทำได้ แต่ต้องเลือกวิธีการให้ดี เพราะถ้าผิดวิธีการ เป็นแค่ลูบหน้าปะจมูกก็จะได้ผลในระยะสั้น และจะไม่คุ้มค่า
แต่ถ้าสามารถสร้างศักยภาพในระยะยาว ผมอยากจะเน้นในเรื่องของการให้ความรู้เด็ก การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การวิจัยสนับสนุนและพัฒนาฝีมือแรงงาน พวกนี้จะเกิดผลประโยชน์ระยะยาว มันสอดรับกับระดับการพัฒนาของเรา ท้ายที่สุดต้องเลือกโครงการให้ดี