
คือ วิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 และวิกฤตโควิด-19 ที่เริ่มขึ้นในปี 2563
ทั้งสองวิกฤตสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจไทย ทว่าในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เกิดการปฏิรูปและพัฒนานโยบายการคลังให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะบทบาทของกระทรวงการคลัง ในการเป็นกลไกหลักในการประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตได้อย่างมั่นคง
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งรู้จักกันในชื่อ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เกิดขึ้นจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท การขยายตัวของหนี้ภาคเอกชน และการปล่อยกู้ที่ไม่มีประสิทธิภาพของสถาบันการเงิน เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ภาคการเงินล้มระเนระนาด และเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง ผลกระทบที่เกิดขึ้น ได้แก่ จีดีพีติดลบกว่า 10% หนี้สาธารณะพุ่งสูง การว่างงานเพิ่มขึ้น และธุรกิจล้มละลายจำนวนมาก วิกฤตครั้งนี้เผยให้เห็นความไม่พร้อมของระบบการกำกับดูแลภาคการเงิน ความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจ และการขาดกลไกการป้องกันความเสี่ยงด้านการคลัง
กรณีศึกษาที่สำคัญคือ การล้มละลายของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หลายแห่ง เช่น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอกธนกิจ ที่มีหนี้เสียจำนวนมาก จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและชำระบัญชี รวมถึงการล่มสลายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ที่สร้างไว้เกินกำลังซื้อของตลาด เช่น อาคารชุดกลางเมืองและตึกสำนักงานที่กลายเป็น “ตึกผี” เป็นเวลาหลายปีหลังวิกฤต นอกจากนี้ยังมีกรณีของบริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นต้องถูกเพิกถอนออกจากตลาด หรือถูกควบรวมกิจการ เพื่อป้องกันการลุกลามของปัญหาทางการเงิน
ภายหลังวิกฤต กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น การจัดตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) เพื่อบริหารจัดการหนี้เสีย การปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแลธนาคารและสถาบันการเงิน การรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ควบคู่กับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายใต้เงื่อนไขขององค์กรระหว่างประเทศ และการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ในแง่ของการคลัง กระทรวงฯ ปรับนโยบายโดยเน้นการรักษาวินัยการคลัง ลดการขาดดุลงบประมาณ และพยายามควบคุมระดับหนี้สาธารณะไม่ให้เกินกรอบที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากบทเรียนในวิกฤตครั้งนั้น
ตัวอย่างที่สำคัญคือการเจรจากับ IMF เพื่อนำเงินกู้กว่า 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาใช้พยุงเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลไทยต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบรัดเข็มขัด และปฏิรูประบบสถาบันการเงินอย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในทศวรรษถัดมา
อีกกรณีที่สำคัญคือการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เพื่อรวบรวมหนี้เสียและจัดการทรัพย์สินด้อยคุณภาพ ซึ่งช่วยฟื้นฟูเสถียรภาพของตลาดสินเชื่อในระยะยาว
หลังจากผ่านพ้นวิกฤตต้มยำกุ้ง กระทรวงการคลังได้ปรับนโยบายเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ การพัฒนาระบบภาษีและฐานข้อมูลการจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟฟ้าและสนามบิน เพื่อกระตุ้นการเติบโตระยะยาว การส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การใช้ e-Payment และการออกพันธบัตรผ่านระบบดิจิทัล และการสร้างกลไกการบริหารความเสี่ยงทางการคลัง เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ และระบบสวัสดิการแบบยั่งยืน การปรับตัวเหล่านี้สะท้อนถึงบทบาทของรัฐในการเป็น “ผู้ปรับสมดุล” (Stabilizer) ที่สำคัญในเศรษฐกิจยุคใหม่
กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือการเปิดตัวระบบ e-Tax และระบบ PromptPay ซึ่งกระทรวงการคลังร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ในการผลักดันให้การชำระเงินของภาครัฐและเอกชนเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ต้นทุนธุรกรรมลดลงและขยายฐานรายได้ภาษีของรัฐ
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสังเกตคือโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ และสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งกลายเป็นตัวจักรสำคัญในการดึงดูดการลงทุนและสร้างงานให้กับแรงงานไทยในระยะยาว
การระบาดของโควิด-19 เป็นวิกฤตที่มีลักษณะแตกต่างจากวิกฤตต้มยำกุ้ง เพราะเกิดจากปัจจัยภายนอกและส่งผลกระทบพร้อมกันทั่วโลก เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับการหยุดชะงักของภาคการท่องเที่ยวและบริการ รายได้ภาครัฐลดลงอย่างรวดเร็ว และความต้องการใช้งบประมาณฉุกเฉินจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงต้องปรับบทบาทใหม่ โดยออกพระราชกำหนดกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 วงเงินรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท สนับสนุนโครงการเยียวยา เช่น เราไม่ทิ้งกัน, คนละครึ่ง, และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปรับเปลี่ยนวิธีจัดเก็บภาษีให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล และจัดการหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่ยั่งยืน แม้จะต้องยืดหยุ่นข้อจำกัดบางประการ มาตรการเหล่านี้ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็จำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางสังคมและเศรษฐกิจในช่วงวิกฤต
กรณีศึกษาที่ชัดเจนคือโครงการ “คนละครึ่ง” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย โดยรัฐบาลร่วมจ่ายค่าใช้จ่ายให้ประชาชนครึ่งหนึ่งในวงเงินที่กำหนด กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และช่วยประคองธุรกิจรายย่อยให้รอดพ้นจากภาวะล้มละลายจำนวนมากได้ในช่วงการล็อกดาวน์
อีกกรณีคือโครงการ “เราชนะ” และ “ม.33 เรารักกัน” ที่ช่วยกระจายรายได้อย่างเร่งด่วนให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ผ่านระบบดิจิทัล เช่น G-Wallet และแอปเป๋าตัง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาระบบการคลังเชิงรุกในภาวะวิกฤต
โควิด-19 ได้เผยให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของระบบการคลังไทย จุดแข็ง ได้แก่ ความสามารถในการระดมทุนอย่างรวดเร็ว การมีฐานะทางการคลังที่มั่นคงก่อนวิกฤต และความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ขณะที่จุดอ่อน ได้แก่ ความล่าช้าในการกระจายงบประมาณ การพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวมากเกินไป และระบบสวัสดิการที่ยังไม่ครอบคลุม ดังนั้น บทเรียนสำคัญคือ การคลังไทยต้องเตรียมพร้อมต่อวิกฤตในอนาคตโดยการสร้างฐานรายได้ที่หลากหลายและมั่นคง ปรับโครงสร้างงบประมาณให้ยืดหยุ่นต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิด และพัฒนาระบบสวัสดิการและการประกันสังคมให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
อีกบทเรียนสำคัญคือ การพัฒนาเครื่องมือทางการคลังแบบดิจิทัลและการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายแบบมุ่งเป้าได้ดียิ่งขึ้น เช่น การใช้ฐานข้อมูลภาษีร่วมกับข้อมูลประชาชนเพื่อคัดกรองผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ ลดการรั่วไหลของงบประมาณ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบในภาวะฉุกเฉิน
จากวิกฤตต้มยำกุ้งสู่โควิด-19 เราเห็นพัฒนาการของกระทรวงการคลังไทยจากผู้รักษาวินัยการคลัง สู่บทบาทเชิงรุกในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ ความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับบริบทโลกาภิวัตน์ การบริหารงบประมาณในภาวะวิกฤต และการออกมาตรการเยียวยาที่รวดเร็วและครอบคลุม ถือเป็นหลักฐานของการเรียนรู้และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การคลังไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ การเสริมสร้างฐานะทางการคลังอย่างยั่งยืนควบคู่กับการตอบสนองต่อวิกฤตอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นภารกิจสำคัญของ “กระทรวงการคลัง” ในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องปกติ