
ปริ่มน้ำไปต่อ ทักษิณ ปลุกใจพรรคร่วม แชร์ประสบการณ์แจกกล้วยสมัยคึกฤทธิ์ ฉายารัฐบาลร้อยพ่อพันแม่ แต่ก็ไปไม่รอด
วันที่เพื่อไทยไม่ได้กุมเสียงเด็ดขาด ทักษิณ งัดกลยุทธ์เด้งเชือกประคองตัวให้รอดพายุหมัด รอกรรมการเคาะระฆังพักยก
พรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าภาพจัดงานภายใต้ชื่อ “สามัคคีประเทศไทย ปกป้องอธิปไตย แก้ปัญหาเพื่อประชาชน” แสดงพลังพรรคร่วมรัฐบาล ท่ามกลางกระแสข่าวลับๆลึกๆมากมายกระจายเต็มโซเชียล
ทักษิณ ชินวัตร มาขึ้นเวทีพูดคุยกับรัฐมนตรี และ สส.พรรคร่วมรัฐบาล ด้วยความระมัดระวังยิ่ง เนื่องจากมีคำขู่จากนักร้องเรื่องการครอบงำพรรคอยู่
ดังนั้น ทักษิณจึงได้บอกเล่าประสบการณ์ทางการเมืองเมื่อ 51 ปีที่แล้ว ทำเอานักข่าวรุ่นลูกรุ่นหลานตาม
51 ปีที่แล้ว ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นนายตำรวจหนุ่ม มียศ “ร้อยตำรวจเอก” และได้เป็นนายตำรวจติดตาม ปรีดา พัฒนถาบุตร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
“สมัย 51 ปีที่แล้ว วันนี้บรรยากาศคล้ายกัน เพราะสมัยก่อนพรรคร่วมรัฐบาลมีหลายพรรค..” ทักษิณเล่าความหลัง และใครก็ทราบว่า รัฐบาลคึกฤทธิ์ เป็นรัฐบาลผสม 16 พรรค 140 เสียง
“เมื่อ 51 ปีที่แล้ว ผมเองมีบทบาทในการควบคุม สส.ให้ มาโหวตในกฎหมายสำคัญทุกรอบ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ หรือกฎหมายสำคัญ...ต้องอยู่ในสภา และต้องไปไล่ตามหัวหน้าพรรคต่างๆและต้องทำบัญชี เพื่อให้ผู้แทนทั้งหลายได้อยู่ในสภาให้มั่นใจว่าเราชนะโหวต..”
กูรูการเมืองบางคนที่ได้ฟังทักษิณพูดบนเวทีคืนนั้น ได้เอ่ยทักท้วงผ่านรายการทอล์กการเมืองของทีวีบางช่องว่า ให้ฟังหูไว้หู เพราะไม่เชื่อว่า ทักษิณจะมีบทบาทมากมายอะไรอย่างนี้
อันที่จริง อดีตนายกฯทักษิณ เคยเล่าเรื่องบทบาท “วิปลับ” สมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์มาแล้วเมื่อปี 2544
สมัยนั้น ทักษิณไม่ได้เป็นแค่นายตำรวจติดตาม ปรีดา พัฒนถาบุตรเท่านั้น เขายังทำหน้าที่เสมือนเลขานุการส่วนตัวของรัฐมนตรีปรีดา และบังเอิญว่า หม่อมคึกฤทธิ์มอบหมายให้ปรีดา เป็นวิปรัฐบาลด้วย
ผู้ที่เคยอ่านหนังสือ “ตาดูดาวเท้าติดดิน” ชีวประวัติของทักษิณ คงทราบว่า หลังจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ทักษิณได้ทุน ก.พ. ไปเรียนต่อปริญญาโท M.S.(Criminal Justice) มหาวิทยาลัยอีสเทิร์ทเคนตักกี้ สหรัฐอเมริกา และเดินทางกลับไทยในปี 2518 เป็นอาจารย์สอนประจำโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สามพราน
จังหวะนั้น ปรีดา พัฒนถาบุตร สส.เชียงใหม่ พรรคสันติชน ที่สนิทกับเลิศ ชินวัตร บิดาของทักษิณ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีสำนักนายกฯ รัฐบาลคึกฤทธิ์ เลิศจึงฝากให้ลูกชายเป็นนายตำรวจติดตามรัฐมนตรีปรีดา
สำหรับ ปรีดา พัฒนถาบุตร และเลิศ ชินวัตร ได้เข้าร่วมกลุ่มเชียงใหม่ก้าวหน้า เพื่อลงสมัครสมาชิกสภาจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2511
ปี 2512 เลิศและปรีดา ได้รับเลือกเป็น สส.เชียงใหม่ โดยเลิศสังกัดกลุ่มอิสระ และปรีดา สังกัดพรรคสหประชาไทย
หลังเลือกตั้งปี 2518 เลิศวางมือทางการเมือง แต่ก็ฝากฝังลูกชายให้ไปทำงานกับปรีดาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เมื่อปี 2544 เว็บไซต์พรรคไทยรักไทย ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ทักษิณในช่วงที่เป็นนายตำรวจติดตามปรีดา พัฒนถาบุตร
“..ที่เป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับผมมาก ต้องยกให้เรื่องการดูแล สส. การจัดสรรและใช้งบลับ เพื่อเลี้ยงกฎหมายให้ผ่านสภา เลี้ยงเสียงพรรคร่วมไม่ให้แตกแถวหรือขบถ”
สมัยโน้น สื่อยังไม่ได้บัญญัติคำศัพท์ “งูเห่า” และตัวเขาเองก็เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องแจกกล้วยโดยไม่ตั้งใจ
“...ผมได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแบบไม่ได้ตั้งใจ โดยถูกใช้เป็นคนรับเงินจากทหารผู้ใหญ่บางท่าน ไปยืมเงินรัฐมนตรีบางคน แล้วนำเงินเหล่านั้นไปแจกจ่ายให้กับ สส. หรือรัฐมนตรีที่รัฐบาลต้องการมือ หรือเสียง แถมต้องทำบัญชีต่างๆโดยละเอียดอีกด้วย”
เนื่องจากเป็นรัฐบาลคึกฤทธิ์ เป็นรัฐบาลผสมร้อยพ่อพันแม่ 16 พรรค ฉะนั้น การลงมติสำคัญๆในสภาฯ จึงต้องมีการแจกกล้วยเป็นเรื่องปกติ
จริงๆแล้ว เรื่องเล่าของอดีตนายกฯทักษิณ ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอย่างแน่นอน เพราะ นสพ.สมัยโน้นแฉว่า มีการซื้อขายเสียงในห้องน้ำสภาฯ
อย่างไรก็ตาม วันที่อดีตนายกฯทักษิณ บอกเล่าเรื่องนี้ มีสถานะเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และนายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเมืองใหม่ จึงได้สรุปบทเรียนสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ว่า
“แน่ล่ะ นี่เป็นการเมืองที่ไม่สะอาด ผมเองก็สารภาพตามตรงว่า ขณะนั้นยังไม่เท่าทันนัก ไม่ตกผลึกพอจะแยกแยะ สังเคราะห์ว่าสิ่งใดคือการเมืองดี สิ่งใดคือการเมืองเลว และสิ่งใดคืออุดมการณ์ทางการเมืองของตัวเอง”
ผ่านมาถึงวันนี้ ทักษิณคงไม่นึกไม่ฝันว่า พรรคเพื่อไทยต้องกลับมาเผชิญกับสภาวะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เหมือนรัฐบาลคึกฤทธิ์