อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง และอาจารย์รัฐศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตั้งข้อสังเกตกับ “ข่าวข้นคนข่าว” ว่า ไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ที่เรียกว่า “Diplomatic Shock” หรือ ภาวะช็อกทางการทูตของไทย เพราะรัฐบาลอเมริกันโดย นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศออกมาตรการในการจำกัดและควบคุมวีซ่าของเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย
มาตรการเช่นนี้อาจมีนัยยะถึงการยกระดับให้เป็นการห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เพื่อตอบโต้กับการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 คนกลับไปจีนในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งต้องยอมรับว่า รัฐบาลไทยไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน แม้ในช่วงรัฐประหารก็ตาม
อาการ “ช็อกทางการทูต” เช่นนี้ มีสัญญาณมาตั้งแต่วันพุธที่ 12 มีนาคม เมื่อรัฐสภายุโรป หรือ EU Parliament ได้ออกมติจากการประชุมสภาด้วยการประนามกรณีอุยกูร์ และยังรวมไปถึงการเรียกร้องในประเด็นเรื่องของกฎหมายมาตรา 112 และปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนในการเมืองไทย
“ไม้แข็งตะวันตก” ส่งผลกระแสคนไทยเอียงหาจีน
อาจารย์สุรชาติ ขมวดปมให้เห็นชัดเจนว่า ปรากฏการณ์จากรัฐสภายุโรปและรัฐบาลอเมริกัน ทำให้เกิดข้อสังเกตดังนี้
1.ต้องยอมรับว่า ไทยไม่เคยเผชิญกับมาตรการทางการทูตในแบบเช่นนี้มาก่อน เพราะหากย้อนกลับไปในยุครัฐประหาร รัฐบาลประเทศตะวันตกก็ออกเพียงคำประณาม มากกว่าจะออกมาตรการจริงจังแบบที่ทำอยู่
2.การออกมาตรการแบบนี้ อาจกลายเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลและผู้คนในสังคมไทยมีความรู้สึกต่อต้านตะวันตกมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ามี “กระแสต้านตะวันตก” อยู่แล้วพอสมควร / สิ่งที่เกิดจะยิ่งทำให้ความรู้สึก “นิยมจีน” มีมากขึ้นในสังคมไทย / โดยเฉพาะในหมู่ชาวอนุรักษ์นิยม ด้วยการพาไทยไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น เพราะผู้นำในสังคมอีกส่วนมองว่า จีนไม่เคยกดดันไทยในทางเปิดแบบที่ตะวันตกทำ เช่นตัวอย่างที่ผ่านมา จีนไม่เคยประณามไทยในช่วงรัฐประหาร เป็นต้น
สัญญาณ “ไทย” ไม่ใช่คนที่ต้องแคร์
3.การเลือกใช้มาตรการเหล่านี้เกิดในสภาวะที่การแข่งขันทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” ในภูมิภาค “อินโด-แปซิฟิก” กำลังทวีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลตะวันตกควรต้องแสวงหาพันธมิตรในภูมิภาคนี้ มากกว่าจะสร้างความขัดแย้งกับรัฐบาลในพื้นที่
การออกมาตรการและคำประณามจะถือเป็นสัญญาณทางการเมืองได้หรือไม่ว่า รัฐบาลอเมริกันและรัฐบาลสหภาพยุโรป ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสำคัญของไทยในทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว อาจจะเพราะมีคู่แข่งอื่นๆ ในภูมิภาคที่อาจจะน่าสนใจกว่าไทย
เตือนกระแสตีกลับ “อนุรักษ์นิยมไทย” มองสหรัฐ-อียู แง่ลบ
อาจารย์สุรชาติ ชวนพิจารณากันต่อว่า วันนี้ต้องยอมรับว่า อเมริกา ยุโรป หรืออียู และไทย ล้วนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ จึงน่าสนใจว่า ปฏิสัมพันธ์ของ 3 ส่วนนี้จะดำเนินไปในทิศทางใด โดยเฉพาะรัฐบาลไทยอาจต้องการการคิดและการกำหนดนโยบายใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้
ผู้คนในสังคมไทยหลายส่วนอาจมีความรู้สึกว่า รัฐบาลอเมริกัน “ไม่แฟร์” กับรัฐบาลไทย เพราะรัฐบาลทรัมป์ก็เนรเทศผู้ลี้ภัยเป็นจำนวนมากออกจากสหรัฐ และนโยบายเนรเทศมีความรุนแรงอย่างมากด้วย และมองไม่เห็นความชอบธรรมของรัฐบาลอเมริกันในกรณีนี้แต่อย่างใด หรือมองว่ารัฐบาลอเมริกันควรกดดันจีนในเรื่องนี้ ไม่ใช่มากดดันไทย เพราะไทยเป็นเพียง “คนกลางที่ถูกกดดัน” จากทุกฝ่าย
ในส่วนของรัฐสภายุโรป คนอีกส่วนในสังคมไทยมีทัศนะว่า กลุ่มการเมืองหรือองค์กรการเมืองบางส่วนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับตัวแทนของสหภาพยุโรปในไทย จึงทำให้เกิดมุมมองว่า รัฐสภายุโรปให้น้ำหนักกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง มากกว่าความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย / กล่าวคือ อียูสามารถที่จะใช้มาตรการอื่นๆ ในการสะท้อนความไม่เห็นด้วยกับนโยบายของไทยได้
ข้อเรียกร้องของสหภาพยุโรปอาจทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมในสังคมไทยมองว่า สิ่งนี้เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทย และอาจมีแรงต้านในสังคมกับการแก้กฎหมายมาตรา 112 มากขึ้น
จี้บัวแก้ว “แอคทีฟ” อย่าทำตัวเป็น “รัฐอัมพาต”
อาจารย์สุรชาติ เสนอว่า กระทรวงต่างประเทศของไทยต้องแถลงให้ชัดเจนว่า มีความจริงเพียงใดที่ไม่มีประเทศไหนต้องการรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ หรือไทยได้รับความช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าวหรือไม่
ซึ่งในปัญหาเช่นนี้ กระทรวงการต่างประเทศอาจต้อง “แอคทีฟ” ในการชี้แจงให้มากขึ้น จะทำตัวเป็น “รัฐอัมพาต” ในแบบช่วงตากใบ / คือ “ไม่พูด-ไม่ชี้แจง” ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว / เพราะอาการรัฐอัมพาตจะทำให้ประเทศมีปัญหามากขึ้นในเวทีสากล
อาจารย์สุรชาติ บอกทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องตระหนักว่า บทบาทของประเทศไทยในบริบทของ “งานด้านการต่างประเทศและความมั่นคง” นั้น / อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ / คือใหม่ทั้งเวทีสากล เวทีในบ้าน รวมถึงตัวบุคคลที่ต้องรับผิดชอบในงานนี้
ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ความท้าทายอย่างสำคัญที่รัฐบาลแพทองธารต้องตระหนักและใคร่ครวญ จะปล่อยให้ปัญหาเช่นนี้ลากประเทศไทยไปเรื่อยไม่ได้ เพราะการถูกลากด้วยปัญหาเช่นนี้ จะทำลาย “soft power” ของประเทศโดยตรง!