svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เลือกตั้ง อบจ.68

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง อบจ. เปิดเกม แดงชนน้ำเงิน ชิงพื้นที่การเมืองท้องถิ่น

เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนวันชี้ชะตาเลือกตั้งนายก อบจ. และสมาชิกสภา อบจ.ทั่วประเทศ ใน 47 จังหวัด พรรคการเมืองใหญ่ส่งตัวแทนลุยหาเสียงเต็มกำลัง เร่งสร้างกระแสและความเชื่อมั่นจากประชาชน ก่อนเสียงปากกาในคูหาจะตัดสินอนาคตการเมืองท้องถิ่น

การเมืองช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ดูคึกคักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีการปักหมุด ลงพื้นที่ไปช่วยหาเสียง การเลือกตั้ง อบจ. ด้วยตนเอง ในพื้นที่หลายจังหวัด ที่เป็นพื้นที่เป้าหมายของพรรคเพื่อไทย 

 

โดยคู่แข่งสำคัญนั้นยังไม่ใช่พรรคประชาชน หรือ “พรรคส้ม” เนื่องจากเป็นสนามท้องถิ่น ซึ่งใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง 

 

แต่คู่แข่งที่ต้องแตกหักกับพรรคเพื่อไทย จึงกลายเป็น “พรรคบ้านใหญ่” อย่างค่ายสีน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” มากกว่า เพราะการเลือกตั้งในกลุ่มที่นายก อบจ.ลาออกก่อนครบวาระ 27 จังหวัด ผู้สมัครค่ายสีน้ำเงินก็กวาดไปไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 

 

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง อบจ. เปิดเกม แดงชนน้ำเงิน ชิงพื้นที่การเมืองท้องถิ่น

กระแสจับจ้องในช่วงการเลือกตั้งโดยเฉพาะจังหวัดชนช้าง “บ้านใหญ่ต่างค่าย ต่างสี” รวมถึงจังหวัดความหวังของ “อบจ.สีส้ม” 

 

ไฮไลต์ศึกใหญ่ “เมืองชาละวัน พิจิตร” การเผชิญหน้าสายเลือดระหว่าง “เสี่ยอ๊อด” ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์  อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ จากค่ายภูมิใจไทย และ “ผู้กำกับกบ” พันตำรวจเอกกฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ นายก อบจ.ปัจจุบัน ซึ่งเป็นญาติผู้น้องของ “เสี่ยอ๊อด” ที่หันไปซบอกพรรคเพื่อไทย 

 

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง อบจ. เปิดเกม แดงชนน้ำเงิน ชิงพื้นที่การเมืองท้องถิ่น

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว “เจ้าสัวตลาดไท” คุณประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รวบรวมพี่น้องตระกูลภัทรประสิทธิ์ ตั้ง “กลุ่มพัฒนาจังหวัด เพื่อคนพิจิตร” โดยสนับสนุน “ผู้กำกับกบ” พันตำรวจเอก กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ เพื่อยึดเก้าอี้ นายก อบจ.พิจิตร ซึ่งครั้งนั้นสามารถทำได้สำเร็จ

 

แต่ปีปัจจุบัน ในปี 2568 เสี่ยอ๊อด-ประดิษฐ์ แยกทางกับ “ผู้กำกับกบ” โดยคุณประดิษฐ์ไปตั้ง “กลุ่มบ้านสีเขียว” เปิดตัว คุณกฤษฏ์ เพ็ญสุภา ชิงเก้าอี้นายก อบจ.พิจิตร โดย คุณกฤษฏ เป็นหลานชายเสี่ยอ๊อด เรียกว่าเป็นเครือญาติกันเองทั้งหมด 

 

ดังนั้น การเลือกตั้ง นายก อบจ.พิจิตร ปีนี้ จึงกลายเป็นศึกสายเลือด “ภัทรประสิทธิ์” ระหว่างหลานชายของเสี่ยอ๊อด ประดิษฐ์ กับ พันตำรวจเอกกฤษฎา ญาติผู้น้องของเสี่ยอ๊อด ในฐานะ “คนบ้านใหญ่หัวดง” 

 

เสี่ยอ๊อด ประดิษฐ์ ถือเป็น “บ้านใหญ่เมืองชาละวัน” มีทีม สส.พิจิตร พรรคภูมิใจไทย 2 คน ได้แก่ วินัย ภัทรประสิทธิ์ และภัทรพงศ์ ภัทรประสิทธิ์ อยู่ในซุ้มบ้านสีเขียว 

โดยเป็น สส. 2 คน จากทั้งหมด 3 ที่นั่งของพิจิตร อีกหนึ่งคนคือ คุณศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ ลูกชาย “เสธ.หนั่น” พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์คนดัง

ซึ่งสังกัดพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน โดยการเลือกตั้งปี 66 ภูมิใจไทยได้ชนะ ยกจังหวัดที่พิจิตร แต่เป็น “ซุ้มสีเขียว” ของคุณประดิษฐ์ 2 คน 

 

ปี 2563 “เสี่ยอ๊อด ประดิษฐ์” จึงสนับสนุน พันตำรวจเอก กฤษฎา ภัทรประสิทธิ์ ลงสมัครนายก อบจ. เอาชนะ คุณชาติชาย เจียมศรีพงษ์ อดีตนายก อบจ.พิจิตร 6 สมัยไปได้ 

 

แต่วันนี้ พันตำรวจเอก กฤษฎา หันไปพึ่งพาพรรคเพื่อไทย เนื่องจาก “ผู้กำกับกบ กฤษฎา” เป็นลูกเขย คุณเปรมฤดี ชามพูนท  นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก และแกนนำเพื่อไทยเมืองสองแคว บ้านใกล้เรือนเคียง 

 

คุณเปรมฤดี จึงประสานมายัง คุณสุณีย์ เหลืองวิจิตร์ อดีต สส.พิจิตร พรรคเพื่อไทย ผู้ดูแลค่ายสีแดงเมืองชาละวัน และตกลงกันตั้ง ผู้กำกับกฤษฎา สู้ศึกนายก อบจ.อีกสมัยโดยสวมเสื้อสีแดง

เพื่อต่อยอดเบียดแย่งเก้าอี้ สส.พิจิตร จากค่ายสีน้ำเงิน ภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 70 

 

ทำให้ “เสี่ยอ๊อด ประดิษฐ์” กลับแก้เกมด้วยการหันไปสนับสนุนหลานชาย มาล้มผู้กำกับกฤษฎา แทน 

 

ความน่ากลัวของ “ทีมผู้กำกับกฤษฎา” คือ มีแรงหนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี คุณไพฑูรย์ แก้วทอง อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ และ “คุณตุ้ม” นราพัฒน์ แก้วทอง ซึ่งเคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ 

 

โดย “บ้านใหญ่แก้วทอง” ไม่ได้ส่งผู้สมัคร ส.อบจ.พิจิตร แต่มีข่าวว่าสนับสนุน “ผู้กำกับกฤษฎา” เพื่อถ่วงดุล “บ้านสีเขียว” ของเสี่ยอ๊อด ประดิษฐ์ 

 

งานนี้จึงกลายเป็น ศึกสายเลือด “ภัทรประสิทธิ์” แต่เป็นการชนกันระหว่าง “ทีมบ้านสีเขียว” ภายใต้การนำของ “ค่ายสีน้ำเงิน” กับหลานชายที่ย้ายไป "ค่ายสีแดง เพื่อไทย" 

 

การปะทะนี้สะท้อนสมรภูมิการต่อสู้ของสองขั้วการเมือง ระหว่างบ้านใหญ่ต่างค่าย พร้อมแรงสนับสนุนจากเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นและระดับประเทศ

 

ศึก อบจ. ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่คือการวางรากฐานพลังการเมืองระดับชาติ ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2570 ที่จะชี้ชะตาอนาคตการเมืองไทย