svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ทำความรู้จักกฎหมายเลือกตั้ง "เมียนมา" โทษสูงสุดประหารชีวิต-คุมเข้มฝ่ายค้าน

มช. เปิดบทวิเคราะห์กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้งเมียนมาฉบับใหม่ เผยเครื่องมือรัฐบาลทหารใช้คุมเข้มฝ่ายต่อต้าน โทษหนักจำคุกตลอดชีวิต-ประหารชีวิต พบเพียง 4 เดือนจับกุมแล้วกว่า 200 ราย ชี้เป็นการเลือกตั้งภายใต้ระบอบควบคุม

24 ธันวาคม 2568 โครงการกิจการความมั่นคงชายแดนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เผยแพร่บทวิเคราะห์สถานการณ์การเลือกตั้งของเมียนมาในช่วงปลายปีนี้ โดยระบุว่าเป็นกระบวนการทางการเมืองที่แทบไม่จำเป็นต้องคาดเดาผลล่วงหน้าในหลายพื้นที่ เนื่องจากโครงสร้างการแข่งขันและบริบทด้านความมั่นคง เอื้อให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองบางฝ่ายสามารถคาดหมายผลได้ล่วงหน้าอยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในอีกมิติหนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้ มิได้ดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศของการแข่งขันอย่างเสรี หากแต่เกิดขึ้นภายใต้ความหวาดระแวงและความไม่ไว้วางใจ โดยเฉพาะความกังวลของฝ่ายรัฐต่อการต่อต้าน การคว่ำบาตร และการบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้งจากกลุ่มที่ไม่ยอมรับความชอบธรรมของระบอบการเมืองปัจจุบัน ภายใต้สายตาของผู้มีอำนาจรัฐ

การเลือกตั้งจึงถูกทำให้เป็นประเด็นด้านความมั่นคงมากกว่ากระบวนการประชาธิปไตย ผลที่ตามมาคือการนำเครื่องมือทางกฎหมายมาใช้เพื่อควบคุมพฤติกรรมทางการเมืองอย่างเป็นระบบ หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุดคือกฎหมายที่เรียกกันทั่วไปว่า “กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้ง” ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองการเลือกตั้งจากการแทรกแซง การทำลาย และการขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง (Law on the Protection of Elections from Interference, Destruction, and Disruption)

ที่มาและบริบทของการตรากฎหมาย
การตรากฎหมายฉบับนี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากพลวัตทางการเมืองภายหลังการรัฐประหารในปี 2021 ซึ่งนำไปสู่การยุติรัฐบาลพลเรือน การระงับกระบวนการเลือกตั้งเดิม และการจัดตั้งโครงสร้างอำนาจภายใต้สภา เพื่อการบริหารแห่งชาติหรือ State Administration Council (SAC) กล่าวคือ ในช่วงระหว่างปี 2021–2024 รัฐบาลทหารต้องเผชิญแรงต้านในหลายรูปแบบ ทั้งการประท้วงของประชาชน การเคลื่อนไหวอารยะขัดขืน การคว่ำบาตรทางการเมือง ตลอดจนการต่อต้านด้วยอาวุธในหลายภูมิภาคของประเทศ ภายใต้สถานการณ์ที่รัฐไม่สามารถควบคุมความมั่นคงได้อย่างเบ็ดเสร็จ การเลือกตั้งในฐานะกลไกสร้างความชอบธรรมทางการเมืองจึงถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง

เมื่อการเลือกตั้งถูกกำหนดขึ้นอีกครั้ง โดยถูกกำหนดมี 3 ระยะหลัก เนื่องจากบริบทด้านความมั่นคง ได้แก่ 

  • ครั้งแรก วันที่ 28 ธันวาคม 2025 
  • ครั้งที่ 2 วันที่ 11 มกราคม 2026 
  • ครั้งที่ 3 วันที่ 25 มกราคม 2026  

ซึ่งการจัดการเลือกตั้งถูกวางกรอบใหม่ให้เป็นภารกิจด้านความมั่นคง มากกว่ากระบวนการเปิดพื้นที่ทางการเมือง กล่าวได้ว่า กฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้งซึ่งเริ่มบังคับใช้ในเดือนกรกฎาคม 2025 จึงถูกออกแบบขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกเชิงป้องกัน โดยมุ่งจำกัดไม่ให้การต่อต้านทางการเมืองในทุกรูปแบบ ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งที่รัฐเป็นผู้ควบคุมทิศทาง    
ในเชิงโครงสร้าง กฎหมายฉบับนี้มีรากฐานทางแนวคิดที่สืบทอดมาจากกฎหมายด้านความมั่นคงที่รัฐบาลทหารใช้มาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาญา กฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย หรือกฎหมายควบคุมสื่อและการสื่อสาร โดยนำตรรกะการป้องกันภัยคุกคามต่อรัฐมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการเลือกตั้งโดยตรง กล่าวคือ การนิยามการคัดค้าน การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการไม่ยอมรับการเลือกตั้งว่าเป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

ลักษณะของกฎหมาย
สาระสำคัญของกฎหมายครอบคลุมตั้งแต่การห้ามการปราศรัย การพูด การชุมนุม การแจกจ่ายเอกสาร การรณรงค์คว่ำบาตร ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ โดยหากการกระทำดังกล่าวถูกตีความว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการเลือกตั้ง บทลงโทษมีตั้งแต่การจำคุกระยะยาว การใช้แรงงานหนัก ไปจนถึงโทษสูงสุดคือประหารชีวิตในกรณีที่การกระทำถูกมองว่าก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือการสูญเสียชีวิต

ปัญหาการตีความและการบังคับใช้
ประเด็นที่ถูกถกเถียงอย่างกว้างขวางคือ ขอบเขตการตีความคำว่า “การแทรกแซง” และ “การขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง” ซึ่งเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจดุลพินิจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเส้นแบ่งระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์เชิงการเมืองกับการต่อต้านหรือปฏิเสธการเลือกตั้ง

ในทางปฏิบัติ มีกรณีที่ประชาชนถูกดำเนินคดีและตัดสินจำคุกจากการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์เพียงอย่างเดียว ส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นกฎหมายที่ทำหน้าที่จำกัดพื้นที่การแสดงออกและปิดกั้นการถกเถียงสาธารณะเกี่ยวกับความชอบธรรมของการเลือกตั้ง

บทลงโทษและผลของการใช้กฎหมาย
กฎหมายฉบับนี้กำหนดบทลงโทษที่เข้มข้น ได้แก่

  1. การจำคุก 3–10 ปี สำหรับการแสดงออกหรือโพสต์ข้อความต่อต้านการเลือกตั้ง
  2. การจำคุก 20 ปี ถึงตลอดชีวิต ในกรณีการข่มขู่หรือขัดขวางเจ้าหน้าที่เลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
  3. โทษประหารชีวิต ในกรณีที่การขัดขวางหรือการก่อวินาศกรรมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต

ข้อมูลจากทางการระบุว่า ภายในระยะเวลาประมาณ 4 เดือนหลังการประกาศใช้กฎหมาย มีผู้ถูกจับกุมและตั้งข้อหาแล้วประมาณ 229 คน จาก 140 คดีทั่วประเทศ โดยเป็นผู้ต้องหาเพศชาย 201 คน และเพศหญิง 28 คน กรณีศึกษาหลายคดีสะท้อนให้เห็นถึงการใช้โทษจำคุกยาวหลายสิบปีจากการรณรงค์คว่ำบาตร หรือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพียงอย่างเดียว

กรณีศึกษาที่สะท้อนความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่

  • ศาลในย่างกุ้งตัดสินจำคุก 49 ปี แก่ Yan Naing Kyi Win และ Aung Ye Htut และ 42 ปี แก่ Ma Ya Min Thet จากกรณีติดโปสเตอร์เรียกร้องการคว่ำบาตรการเลือกตั้ง
  • กรณีของ Nay Thway ชาวเมืองตองยี ถูกตัดสินจำคุก 7 ปี พร้อมแรงงานหนัก จากการโพสต์ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์
  • ศิลปินและผู้กำกับภาพยนตร์บางรายถูกตัดสินจำคุก 7 ปี จากการแสดงออกเชิงต่อต้านการเลือกตั้ง

ความหมายเชิงการเมืองและข้อสังเกตเชิงนโยบาย
แม้ฝ่ายรัฐจะอธิบายว่ากฎหมายคุ้มครองการเลือกตั้งมีเป้าหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของกระบวนการเลือกตั้ง แต่เมื่อพิจารณาในบริบทการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของเมียนมา กฎหมายฉบับนี้สะท้อนลักษณะของการเลือกตั้งภายใต้ระบอบการควบคุมมากกว่าการเลือกตั้งในฐานะกลไกของการถ่ายโอนอำนาจทางการเมือง การเลือกตั้งจึงถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความมั่นคง มากกว่าการสร้างความชอบธรรมผ่านความยินยอมของประชาชน คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ท่าทีของนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทย ว่าควรให้การรับรองการเลือกตั้งลักษณะนี้อย่างไร การให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ระยะสั้นโดยไม่พิจารณาผลกระทบต่อกระบวนการสันติภาพและความมั่นคงชายแดนในระยะยาว จึงอาจย้อนกลับมาเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของไทยและภูมิภาคในอนาคต