
จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าเยี่ยมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เขตสาทร กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยในการประชุมครั้งนี้ มีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมรับฟังอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นางสาวภาดาท์ วรกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการฯ นายพีรวัส สมวงศ์ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ และคณะที่ปรึกษา พร้อมด้วยนายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มองว่า เสียงของภาคเอกชน คือ ข้อมูลต้นน้ำ ที่จำเป็นต่อการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันได้จริงในยุคสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงทั่วโลก พร้อมระบุว่า วันนี้ไม่ใช่วันที่กระทรวงอุตสาหกรรมมามอบนโยบาย แต่เป็นวันที่มารับนโยบายจากภาคเอกชน นี่คือสิ่งที่จำเป็นที่สุด หากรัฐไม่ฟังเอกชน ก็เท่ากับรัฐหูหนวกตาบอด ไม่เห็นสนามแข่งขันจริง ไม่เข้าใจต้นทุนที่แท้จริง ไม่รู้ว่าโลกกำลังเคลื่อนไปทางไหน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังระบุบทบาทของกระทรวงฯ ว่า จะต้องแปลงข้อมูลจากเอกชนให้กลายเป็นโมเดลชาติ เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และเสริมความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจไทยในยุคที่การแข่งขันระหว่างประเทศเปลี่ยนรูปแบบอย่างรวดเร็ว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังระบุว่า การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ทำให้ภาครัฐเข้าใจปัญหาเชิงลึก ตั้งแต่การพัฒนานวัตกรรม การสร้างงาน การรักษาคุณภาพสินค้า ไปจนถึงการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากสินค้าต่างประเทศราคาต่ำ ซึ่งหลายอุตสาหกรรมชี้ชัดว่า ไม่อยากให้ใครต้องเจอชะตาเดียวกับอุตสาหกรรมเหล็กไทย ที่กำลังเผชิญสินค้าคุณภาพต่ำทะลักเข้าสู่ประเทศปริมาณมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ของประเทศ เราต้องทำงานเชิงรุกก่อนที่อุตสาหกรรมอื่นจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังเห็นว่า อีกประเด็นสำคัญคือการยกระดับมาตรฐานสินค้าไทย เพื่อปกป้องผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยจากคู่แข่งที่ไม่ยึดหลักคุณภาพ พร้อมย้ำว่า สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมต้องเดินหน้าเชิงรุก ไม่ใช่รอปัญหาเกิดแล้วค่อยแก้ เพราะโลกใบนี้ไม่รอเราอีกต่อไป ดังนั้น การทำงานร่วมกันแบบรัฐ–เอกชน (Public–Private Partnership) จะถูกผลักดันให้เป็นกลไกหลัก เพื่อให้มาตรฐานไทยกลายเป็นโล่ป้องกันประเทศ และเป็นตัวช่วยยกระดับสินค้าไทยสู่ตลาดโลก
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ประเทศไทยอยู่ในยุคที่เราต้องพึ่งพาตัวเองให้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะอยากแยกตัวจากโลก แต่เพราะโลกกำลังแข่งขันดุเดือดกว่าเดิม ทุกภาคส่วนต้องจับมือกัน เพราะนี่ไม่ใช่สมรภูมิของรัฐ หรือสมรภูมิของเอกชน แต่มันคือสมรภูมิของคนไทย ที่จะร่วมกันสร้างอนาคตที่มั่นคงให้ลูกหลานของเรา
ทั้งนี้ การรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในครั้งนี้ มีภาคอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมให้ข้อเสนอประกอบด้วย
• อุตสาหกรรมดิจิทัล
• อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร
• อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
• คลัสเตอร์วัสดุก่อสร้าง
• อุตสาหกรรมเหล็ก
• อุตสาหกรรมแก้วและกระจก