
28 ตุลาคม 2568 ในยุคที่ประเทศไทยของเรากำลังให้ความสนใจเรื่อง “ซอฟต์พาวเวอร์” โดยรัฐบาลชุดที่แล้วประกาศเป็น “วาระแห่งชาติ” เพื่อหวังสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับคนไทย และครัวเรือนไทย ถึงขนาดมีโครงการ “1 ครอบครัว 2 ซอฟต์พาวเวอร์” เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
แม้ปัจจุบันรัฐบาลเจ้าของแนวคิดจะไม่ได้ไปต่อ แต่แนวทางการผลักดัน “ซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งหากจะกล่าวในมิติที่กว้างกว่า ก็คือ “ทุนทางวัฒนธรรมของประเทศไทย” ให้กลายเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ ยังคงเป็นนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่น่าสนใจ และสมควรที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสนใจ และให้ความสำคัญ
ล่าสุด สถาบันพระปกเกล้า ได้เปิดตัวหลักสูตร “นักบริหารระดับสูงของชาติ ด้านการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรม เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในพื้นที่” โดยมีการเปิดการอบรม และปฐมนิเทศวันนี้เป็นวันแรก ท่ามกลาง “คีย์แมน” จากทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ชุมชน และสื่อมวลชนชั้นหัวกะทิ เข้าร่วมศึกษาอบรมจำนวน 40 ชีวิต
ประเด็นหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันจากเวทีปฐมนิเทศหลักสูตรก็คือ แท้ที่จริงแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย โดยเฉพาะ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระวิสัยทัศน์กว้างไกล และทรงให้ความสำคัญ ทรงมีพระราชกรณียกิจขับเคลื่อนผลักดันทุนทางวัฒนธรรมของไทย กระทั่งมีความเข้มแข็ง ยกระดับทั้งงานศิลปะ หัตถกรรม ตลอดจนภูมิปัญญาท้องถิ่นไปสู่ระดับโลก และสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืนในหลากหลายพื้นที่ของประเทศ
ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ประธานมูลนิธิเสริมสร้างพลังชุมชนวัฒนธรรมและธรรมาภิบาล บอกว่า "สมเด็จพระพันปีหลวง" ทรงเป็นเหมือน “อินฟลูเอนเซอร์” หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดและการกระทำ ทรงเป็นต้นแบบในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย นอกจากจะวางรากฐาน วางระบบแล้ว ยังทรงเป็น actor ที่ดีที่สุด ทรงคุณค่าที่สุดในเรื่องทุนทางวัฒนธรรมด้วย
หลักสูตรการบริหารจัดการทุนทางวัฒนธรรมนี้ จึงเหมือนเป็นการสานต่อพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน แปรเป็นภารกิจของผู้เรียน คือสร้างโมเดลทุนวัฒนธรรมให้เกิดความยั่งยืน เพราะประเทศไทยเรามีต้นทุนวัฒนธรรมอยู่สูงมาก เพียงแค่เราต้องค้นหาวิธีบริหารจัดการ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ให้ทรงคุณค่าเอาไว้ และสามารถนำไปพลิกแพลง พัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศอย่างยั่งยืน ถือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีวันหมดของแผ่นดินไทย
ด้าน ดร.ธนภณ วัฒนกุล ผู้เชี่ยวชาญการบริหารงานวิจัยเชิงพัฒนาพื้นที่ด้านทุนทางวัฒนธรรมชุมชน หนึ่งในผู้ทรงคุณวุฒิผู้ร่วมบริหารหลักสูตร กล่าวอย่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ว่า สมเด็จพระพันปีหลวง ทรงลงพื้นที่ทุรกันดาร และทรงมองเห็นผลงานของชาวบ้านก่อนที่หน่วยงานราชการจะเข้าไปส่งเสริมด้วยซ้ำ
เช่น เรื่องการทอผ้า ชาวบ้านจะรู้เลยว่า เขามีหน้าที่ทอออกมาให้สวย และจะได้ขายให้กับสมเด็จพระพันปีหลวง ชาวบ้านไม่ต้องกังวลว่าทำงานตามที่ตัวเองถนัดแล้วจะไม่มีใครมาซื้อ สุดท้ายทำให้ผลงานชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ ไม่สูญหายไป เพราะแท้จริงแล้วการรักษาและต่อยอดทุนทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการ “หาตลาด” ให้กับชุมชนนั่นเอง
ดร.ธนภณ บอกด้วยว่า ทุนทางวัฒนธรรมที่พระองค์ท่านทรงมองเห็นว่ามีความยั่งยืน ก็คือการสร้างรายได้ให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ ด้วยผลผลิตทางวัฒนธรรมในพื้นถิ่นของตัวเอง ซึ่งแนวพระราชดำรินี้ จะแก้ปัญหาอีกหลากหลายปัญหาของสังคมไทย ทั้งความเหลื่อมล้ำ รวยกระจุก จนกระจาย รวมไปถึงการทำให้ผู้คนหันมารักบ้านเกิด กลับไปพัฒนาบ้านเกิดของตนด้วย