
27 ตุลาคม 2568 นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เปิดเผยถึงข้อตกลงแร่หายาก ระหว่างไทย-สหรัฐ ที่ถูกมองว่าอาจกระทบต่อผลประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ ว่า ประเด็นที่ไทยได้ร่วมลงนาม MOU แรร์เอิร์ธ หรือ ความร่วมมือแร่หายากของโลก กับสหรัฐ ว่า แม้แร่แรร์เอิร์ธ จะมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เช่น ภาคตะวันตก ภาคใต้ แต่กลับไม่พบพื้นที่กระจุกตัวที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ และที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทย
“บันทึกความเข้าใจนี้ไม่มีผลทางกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงกรอบความร่วมมือเพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และโอกาสการลงทุน ซึ่งจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อมีงบประมาณสนับสนุนเพียงพอ และอยู่ภายใต้กฎหมายของแต่ละประเทศอย่างเคร่งครัด
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ ไม่ใช่สัญญาผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ สามารถยกเลิกได้โดยแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร และมีผลในลักษณะกรอบความร่วมมือเพื่อพัฒนา มากกว่าการให้สิทธิหรือประโยชน์ใดๆ แบบผูกพันถาวร”
ส่วนกรณีเกิดไวรัลเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนว่า ไทยส่งออกเป็นอันดับ 5 นั้น ข้อเท็จจริงคือ ประเทศไทยนำเข้าแรร์เอิร์ธมาเป็นตัวแร่ และตกแต่งแร่ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ก่อนจะส่งออก เพราะฉะนั้นประเทศไทยไม่ได้ทำแรร์เอิร์ธมาจากเหมืองแร่ในประเทศ แต่นำเข้าจากออสเตรเลียเป็นหลัก อีกทั้งประเทศไทยยังไม่มีเทคโนโลยีในการสกัดแร่แรร์เอิร์ธให้ออกมาเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นข้อตกลงความร่วมมือจึงถือเป็นความเข้าใจที่จะแลกเปลี่ยนส่งเสริมข้อมูลกับทางอเมริกามากกว่า
“จากข้อมูลเบื้องต้น ไม่ปรากฏแหล่งที่มีความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ไม่ได้บอกว่ามีหรือไม่มี ถ้ามีแหล่งที่คุ้มค่าแล้วเขาอยากจะลงทุน เราก็ไม่ขัดข้องเพราะเราก็เปิดกว้างอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรการทางสิ่งแวดล้อม อีไอเอ อีเอไอเอ ของไทยทุกขั้นตอน
ข้อมูลที่ระบุว่าไทยเป็นผู้ส่งออกแร่หายากอันดับต้นๆ ของโลกนั้น เป็นเพียงผลจากการนำเข้าวัตถุดิบแร่จากต่างประเทศมา “แต่งแร่” แล้วส่งออกต่อ ไม่ได้เกิดจากทรัพยากรภายในประเทศ สิ่งที่ลือกันว่าไทยยกแร่หายากให้สหรัฐ ไม่เป็นความจริง เพราะเรายังไม่มีแหล่งผลิตในประเทศ และการสำรวจหรือการลงทุนใดๆ ถ้ามีจริง ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด รวมถึงมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ เรามองว่า MOU นี้คือโอกาสในการยกระดับเทคโนโลยีและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ไทย เพื่อให้ไทยก้าวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ โดยยังคงรักษาอำนาจการกำกับดูแลภายในประเทศอย่างเต็มที่ ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมีมาตรฐาน โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีและวัสดุใหม่ๆ ที่มีแร่หายากเป็นส่วนประกอบหลัก สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไทยจะไม่เสียสิทธิในทรัพยากร แต่จะได้องค์ความรู้ เทคโนโลยี และโอกาสในการยกระดับอุตสาหกรรมของเราให้ยั่งยืนมากขึ้น