
20 ตุลาคม 2568 การประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา IPU ครั้งที่ 151 เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ในช่วงเช้าวันที่ 21 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น ที่ศูนย์การประชุมนานาชาติเจนีวา หรือ CiCG ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ซึ่งมีทั้ง สส. สว. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสนับสนุน เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง
สำหรับวาระสำคัญของการประชุมใหญ่คือ รับรองการประชุมและข้อมติต่างๆ ของ IPU ในช่วงที่ผ่านมา และการปราศรัยหรือการอภิปรายของประธานรัฐสภาจากชาติสมาชิก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยจะได้อภิปรายในลำดับที่ 17
สำหรับในการอภิปรายของคณะกรรมาธิการสามัญ ว่าด้วยสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ในการประชุม IPU หัวข้อการอภิปรายคือ “นโยบายควบคุมอาวุธและการไม่แพร่ขยายอาวุธ: การป้องกันการแข่งขันทางอาวุธครั้งใหม่” ปรากฏว่าผู้แทนรัฐสภาทั้งไทยและกัมพูชา ต่างกล่าวถ้อยแถลงของฝ่ายตน
โดยผู้แทนจากกัมพูชาเป็นฝ่ายขออภิปรายก่อน ทำให้ “ทีมไทยแลนด์” ต้องมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิด และเงี่ยหูฟังทุกคำพูดอย่างละเอียด แต่ปรากฏว่าผู้แทนกัมพูชาไม่ได้กล่าวพาดพิง หรือโจมตีประเทศไทย ตามที่คาดเอาไว้ มีเพียงการยืนยันจุดยืนและความร่วมมือของกัมพูชาในการปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการทำลายล้างทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
จากนั้นก็ถึงคิวของผู้แทนรัฐสภาไทย โดย สส.รังสิมันต์ โรม จากพรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากฝ่ายกัมพูชาอย่างมากเช่นกัน รวมถึงชาติสมาชิกที่ร่วมอยู่ในห้องประชุมด้วย
สส.รังสิมันต์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ขอยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของไทย ต่อการควบคุมอาวุธ การลดอาวุธ และการไม่แพร่ขยายอาวุธ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อุดมคติที่เลื่อนลอย แต่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อสันติภาพและความมั่นคงของมนุษย์ในภูมิภาคของเรา
สำหรับประเทศไทย การควบคุมอาวุธไม่ใช่เรื่องของการนับจำนวนอาวุธ แต่เป็นเรื่องของการนับจำนวนชีวิต และการทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีชีวิตใดต้องสูญเสียไปโดยไม่จำเป็นจากความประมาทเลินเล่อ ความล่าช้า หรือความเพิกเฉย
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงเลือกเดินในเส้นทางที่ยากกว่า นั่นคือการลงมือทำแทนที่จะเป็นเพียงแค่การพูด ในฐานะรัฐภาคีของ อนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ประเทศไทยได้ใช้เวลานานหลายทศวรรษในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ปนเปื้อนตามแนวชายแดนของเรา เพื่อฟื้นฟูความปลอดภัย สร้างวิถีชีวิตขึ้นมาใหม่ และทวงคืนความหวังให้กับชุมชนที่เคยถูกคุมขังโดยภัยเงียบใต้ผืนดิน
“เราได้เรียนรู้ว่า อาวุธที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลให้กับผืนดิน แต่ยังสร้างบาดแผลให้กับมโนธรรมของประชาชาติด้วย สิ่งเหล่านี้ย้ำเตือนเราว่า สันติภาพที่ล่าช้าคือความทุกข์ทรมานที่ยาวนานออกไป” สส.จากประเทศไทย กล่าวตอนหนึ่ง
จากนั้น สส.รังสิมันต์ อภิปรายว่า “บางส่วนในภูมิภาคของเรายังคงอยู่ภายใต้เงาของทุ่นระเบิด ไม่เพียงแต่จากอดีตอันไกลโพ้น แต่ยังมาจาก อุปกรณ์ที่เพิ่งถูกวางใหม่ ซึ่งทรยศต่อเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาที่เราทุกคนให้คำมั่นว่าจะยึดถือ”
“ทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิดแต่ละลูกเป็นมากกว่าซากสงคราม แต่มันคือคำถามถึงความรับผิดชอบ และทุ่นระเบิดทุกลูกที่ถูกวางใหม่คือการกระทำที่จงใจเพิกเฉยต่อชีวิตมนุษย์”
สส.จากพรรคประชาชน สรุปว่า ความเป็นจริงเช่นนี้ บังคับให้ไทยต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การไม่ป้องกันและเก็บกู้อาวุธเหล่านี้ เป็นอันตรายต่อพลเรือน ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเพื่อนบ้าน และบ่อนทำลายโครงสร้างทางศีลธรรมของสันติภาพในภูมิภาคของเรา
ที่สำคัญ ความเข้มแข็งที่แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ความสามารถในการสะสมอาวุธ แต่วัดกันที่ความกล้าหาญที่จะลดอาวุธ นั่นก็คือการเลือกความโปร่งใสแทนความลับ และเลือกความรับผิดชอบแทนการปฏิเสธ
สส.รังสิมันต์ ย้ำว่า ประเทศไทยเชื่อว่า สันติภาพไม่สามารถสร้างขึ้นบนข้อแก้ตัว หรือดำรงอยู่ได้ด้วยความเงียบ สันติภาพจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อ ทุกประเทศเผชิญหน้ากับพันธกรณีของตนอย่างตรงไปตรงมาและรักษาคำพูด