
29 กันยายน 2568 ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 ว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสําคัญกับการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ติดตามตั้งแต่ท่านยังไม่ออกนโยบาย จนกระทั่งเข้ารับตําแหน่ง และนํานโยบายสู่สาธารณะ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนในภาวะวิกฤต ที่บ้านเมืองไม่เป็นปกติ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้เวลา 6 ชั่วโมงจะทําหน้าที่ให้คุ้มค่าที่สุด และจะรักษาอภิปรายให้เป็นไปตามข้อบังคับ โดยมุ่งเน้น 3 ประเด็นหลัก คือ
1. ตัวนโยบายเหมาะสมหรือไม่ ทําได้หรือไม่ ทําดีหรือไม่ หรือทําเป็นหรือไม่ เพราะเรามองเวลาที่มีอย่างจํากัดใน 4 เดือน ว่าท่านทําได้หรือไม่ ทั้งนี้ ส่วนตัวขอชื่นชมคำแถลงนโยบาย ที่เขียนไว้ครอบคลุมในทุกมิติอย่างหาที่ติไม่ได้ และจะปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะเป็นไปอย่างนั้นหรือไม่ ต้องติดตาม
2. ผู้ที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย ซึ่งเราเห็นว่านโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาครั้งนี้ จะไม่มีผลสําเร็จได้เลย หรือสําเร็จได้ก็อาจจะเป็นโมฆะ เพราะผู้บริหารนโยบายเป็นผู้ที่ไม่มีความเหมาะสมไม่มีคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามที่ไม่สามารถทํานโยบายนี้ได้
3.โอกาสของพี่น้องประชาชนที่จะสูญเสียไป จากการดําเนินนโยบาย
นพ.ชลน่าน ยังระบุว่า 4 เดือนที่ท่านสัญญาว่าจะยุบสภา ตนมั่นใจว่ายุบสภาแน่นอน เพราะหากไม่ยุบจะเสียหาย แต่หากยุบจะได้คะแนนมหาศาล ขณะเดียวกัน มองว่าท่านจะใช้ระยะเวลา 4 เดือนนี้ในการ ดึง ถ่วง และยื้อคดีที่เป็นปัญหาอยู่
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทินว่า เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่ปฏิบัติตามบทเฉพาะกาล ซึ่งเราไม่อยากให้สร้างประเพณีรัฐบาลเสียงข้างน้อยในประเทศ แม้จะมีเกิดขึ้นในประเทศแคนาดาหรือออสเตรเลีย แต่ความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่มอบหมายให้ไปใช้งบประมาณในการบริหารประเทศ ไม่ได้เป็นความไว้วางใจ แต่มอบหมายให้ทํางาน และมองด้วยว่า นโยบายที่เขียนไว้ทําไม่ได้ หรือทําได้เฉพาะที่บทเฉพาะการกําหนดไว้ให้เท่านั้น
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงนโยบายตาม MOA ว่า เป็นการเขียนนโยบายที่ชัดแต่ขยัก ที่ระบุว่าจัดทําประชามติแก้รัฐธรรมนูญในวันเลือกตั้ง ยุบสภาภายใน 4 เดือน ซึ่งสิ่งที่บันทึกใน MOA จัดทํารัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นหายไป จะเบี้ยวหรือไม่ ขอให้ตอบตนและสภาแห่งนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลนี้จะต้องใช้ประโยชน์จากคะแนนนิยมของพี่น้องประชาชน เพื่อชนะการเลือกตั้งในวันที่ 22 หรือ 29 มีนาคม 2569 ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด เพื่อส่งให้ท่านสืบทอดอํานาจไปอีก 4 ปี
สิ่งที่ท่านจัดรัฐมนตรีคนนอกเป็นภาพที่สวยงามมาก แต่นี่คือกลไกที่แยบยล เพราะรัฐมนตรีสามารถจัดการดูแลในพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อให้ได้อํานาจมาภายใน 4 ปี ทําให้มองว่านโยบายที่แถลงมาจะเป็นปัญหามากกว่าทางออก เป็นหายนะที่ตนมองว่าทำไม่ได้ และ 4 เดือน ที่จะนํามาซึ่งการยุบสภา จะกลายเป็น 4 เดือน แห่งการยุบคดี
นพ.ชลน่าน ระบุว่า เราต้องการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขอย่างแท้จริง เราไม่ต้องการแค่เปลือก สิ่งที่เราเห็นใน 4 ปี การกัดกร่อนระบอบรัฐสภาในประชาธิปไตยจะรุนแรงมาก ซึ่งมีหลักฐานทางข้อกฎหมาย และในอนาคต การเลือกตั้งจะไม่ใช่อํานาจของประชาชนอย่างแท้จริง จะเป็นอํานาจการจัดการของตัวบุคคล นโยบาย การจัดการ ซึ่งเงินจะเป็นปัจจัยสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และตนไม่ได้บอกว่าท่านซื้อเสียง
“รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะถูกยกร่างด้วยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากสีน้ำเงิน และรัฐธรรมนูญฉบับนั้นจะเป็นสีน้ำเงิน ไม่ว่าจะผ่านร่างของเพื่อไทยเป็นหลัก ร่างของพรรคประชาชนเป็นหลัก หรือร่างภูมิใจไทยเป็นหลัก ล้วนแต่มีกลไกการจัดการเพื่อให้ได้สมาชิก ส.ส.ร. สีน้ำเงินเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องยากเพราะยากกว่านี้ก็ทำมาแล้ว ถ้าเขาต้องการก็ทําได้หมด นี่คือสิ่งที่คาดการณ์อนาคตของประเทศ และภาคประชาชนประกาศชัดว่าถ้า ส.ส.ร. สีน้ำเงิน รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นสีน้ำเงิน ประชามติรณรงค์ทั่วประเทศไม่ผ่าน ซึ่งจะเข้าทางไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ นี่คืออนาคตที่เราจะเจอ"
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึงนโยบายเฉพาะกิจเพื่อการเลือกตั้ง รวมทั้งคนที่ตั้งเข้ามาล้วนแต่ทำเพื่อการนี้ ซึ่งตนมีสิทธิที่จะพูดและท่านมีสิทธิที่จะพิสูจน์ว่ามันไม่จริง
“หลายคนขนานนามว่ารัฐบาลอนุวิน ผมไม่รู้ว่าเขามาจากอะไร รัฐบาลเนทิน หรือรัฐบาลหนูเน นั่นหมายความว่านายกรัฐมนตรีของท่านไม่ได้ใช้อํานาจบริหารที่แท้จริง”
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวถึง 4 หายนะที่จะเกิดขึ้น ประกอบด้วย
1.หายนะทางประชาธิปไตย ในระบบเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือ สส. ที่ประชาชนไม่ได้ตัดสินใจ เพราะเหมายกเข่ง ซื้อยกหน่วย 1,000-2,000 บาท
2.หายนะด้านความโปร่งใสและหลักนิติธรรม ไม่ใช่ไม่เก่ง แต่ผลประโยชน์ไม่ตกกับพี่น้องประชาชน เพราะคนที่เข้ามามีลักษณะผูกขาดตําแหน่ง ซึ่งตนไม่ได้กล่าวร้ายแต่เป็นกลไกที่สามารถทําได้ ซึ่งรัฐมนตรีบางคนมีแผล มีกรรมเก่าในอดีต
3.หายนะด้านการบริหารจัดการประเทศ
4.หายนะทางโอกาสของประชาชน
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า บางนโยบาย เช่น การแก้ไขปัญหายาเสพติด ภัยพิบัติ แลนด์บริดจ์ การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าชุมชน ทําไมถึงมาทําในรัฐบาลนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำไมไม่ทำในรัฐบาลของเรา 2 ปีที่ผ่านมา นโยบายดีๆ ท่านปัดตกหมด เช่น นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนคนกรุงเทพและปริมณฑล 12-13 ล้านคนต่อวัน มีสถิติการใช้เพิ่มเติมแต่ท่านยกเลิก ถือเป็นการทําลายโอกาสของพี่น้องประชาชน และท่านอาจจะใช้มาตรการอื่นมากลบเกลื่อน แต่นี้ คือ นโยบายของพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ ขอขอบคุณท่านที่สานต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นสิ่งที่พึงกระทําที่หลายรัฐบาลไม่อยากทำ รวมถึง หวยเกษียณ ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น สลากเงินออม
นพ.ชลน่านกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีสามารถชี้แจงได้ แต่สิ่งที่ตนกล่าวมาทั้งหมด ทั้งการวางกําลังพล และการจัดวางฐานอํานาจ สว. และ สส. ต้องยอมรับว่าท่านทําการเมืองอย่างเหนือชั้นทุกคนไหลเข้าหาท่านหมด เพราะรู้ว่าอยู่กับท่านแล้วปลอดภัย ได้เป็นรัฐบาลในสมัยหน้า แต่ท่านอย่าประมาทพี่น้องประชาชน เพราะ 4 เดือน ที่เข้ามาเพื่อยุบสภา จะบอกว่าท่านเข้ามาเพื่อยุบคดี
“อดีตอธิบดีกรมที่ดินออกมาแถลงชัด ซึ่งถือว่าแยบยลมาก เพราะแถลงในนามรัฐบาลรักษาการ จะได้ไม่มาแปดเปื้อนท่าน ถือว่ายุทธศาสตร์ทางการเมืองของท่านลึกล้ำจริงๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่าออกจากสมองใคร แต่ยกย่องให้จริงๆ ยอมเป็นลูกศิษย์ยอมกราบ
ถ้าจะเป็นผู้นําจิตวิญญาณที่อยู่ด้านหลัง ผู้นําจิตวิญญาณสีน้ำเงิน ผู้นําจิตวิญญาณแดง ผู้นําจิตวิญญาณส้ม หมายเลข 1 ฉลาดปราดเปลื่องหลักแหลม 4 เดือนที่ท่านทํา ท่านจะได้ 4 ปี และท่านจะกินรวบประเทศไทย อํานาจ สว. เป็นของพรรคสีน้ำเงิน อํานาจ สส. เป็นสีน้ําเงิน อํานาจองค์กรอิสระเป็นสีน้ำเงิน อํานาจราชการเป็นสีน้ําเงิน ทั้งประเทศน้ําเงินทั้งหมด และถ้าเราไม่ช่วยกันไม่ระวังการกินรวบทั้งประเทศจะเกิดขึ้น การลงทุนของพรรคประชาชนจะสูญเปล่า"
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวด้วยว่า ขอพูดในนามประชาชนว่า ตนอยากอยู่อย่างสงบสันติ ทําหน้าที่ของประชาชนหากินอย่างสงบมีอิสระเสรีภาพ ต้องการรัฐบาลที่ซื่อสัตย์คํานึงสิทธิประโยชน์ของประชาชน คํานึงถึงสถาบันหลักของชาติ และสร้างโอกาสให้พี่น้องประชาชน ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจะขอกราบทุกคนทุกท่าน ที่นั่งอยู่ในบัลลังก์ที่แถลงนโยบายว่า จะทําหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต อย่าให้คําๆ นี้มันกัดกร่อนท่าน เพราะตนอยากเห็นรัฐมนตรีที่ทําหน้าที่อย่างจริงจัง
จากนั้น นายอนุทิน ได้ชี้แจงประเด็นที่ นพ.ชลน่าน อภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า ตนให้เกียรติท่านเสมอมา โดยเฉพาะท่านเคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และเป็นรัฐมนตรีที่ตนเคยร่วมรัฐบาลด้วย ที่ นพ.ชลน่าน ตั้งคำถามแรกว่ารัฐบาลของตนสามารถทำได้ หรือไม่ทำเป็นหรือไม่ ทำดีหรือไม่ คำตอบคือสามารถทำได้ สิ่งที่ถูกเขียนอยู่ในคำแถลงนโยบายของตน เป็นสิ่งที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่า เราทุกคนต้องทำได้ เพราะวิธีการทำงานของตน ใช้คำว่าทำได้เร็วและต้องทำเลย เพราะฉะนั้นจึงขอชี้แจงให้สมาชิกมีความมั่นใจรวมไปถึงประชาชนด้วย
ส่วนคำถามว่า ทำเป็นหรือไม่ ยืนยันว่าทำเป็น เพราะคณะรัฐมนตรีที่ตนคัดสรรมา ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในวิชาชีพทุกด้านที่มีอยู่ แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อน ตนได้ทำการตรวจสอบประวัติการทำงานประวัติการศึกษา พฤติกรรม ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า ทุกคนมีคุณสมบัติครบถ้วนในการ ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทยที่รักของเรา และพี่น้องประชาชน ผู้ที่ตนคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาว่า คือผู้ที่มีพระคุณต่อตนและรัฐบาลนี้
ส่วนทำดีหรือเปล่าก็ขอยืนยันว่า คนเราหากมาถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว กว่าจะมาถึงจุดนี้ใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ก็ต้องถือโอกาสนี้ทำดีที่สุดให้เป็นเกียรติประวัติให้เกิดประโยชน์สูงสุด กับประเทศและประชาชนเท่าที่นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ ดังนั้นใน 4 ประเด็นที่นพ.ชลน่าน บอกไว้ต่อเนื่องมาจนถึงการขาดโอกาส แต่ตนคิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุด ที่รัฐบาลจะได้แสดงผลงาน เพราะรัฐบาลนี้ตนได้ทำความเข้าใจกับรัฐมนตรีทุกคนแล้วว่า ไม่มีคำว่าคนละพรรค นี่คือพรรครัฐบาลไม่มีขัดแข้งขัดขาแข้งขัด จะไม่มีความกังวลว่าพรรคไหนทำอะไร แล้วจะได้รับความนิยมชมชอบจากพี่น้องประชาชนมากกว่า ตนอาจจะโชคดีที่ถูกสั่งสอนมาให้เป็นคนใจกว้าง อะไรก็ตามที่เป็นวงวานว่านเครือ หรือเครือข่ายการทำงานที่ตนเกี่ยวข้องด้วยแล้วใครทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จแล้วเป็นประโยชน์ ตนมักจะอนุโมทนาสาธุ และสนับสนุนให้ทุกคนที่ทำงานร่วมกับทุกคนได้ประสบความสำเร็จสูงสุด การที่ท่านพูดว่ารัฐบาลนี้ขาดคนมีฝีมือก็ต้องยืนยันว่า ตนให้ความเชื่อมั่นได้ว่า ทุกคนที่อยู่ในรัฐบาลนี้ตนเป็นผู้คัดเลือกเองแ ละสิ่งที่สำคัญที่สุดนอกจากเรื่องคุณงามความดีที่แต่ละคนมี ความไว้เนื้อเชื่อใจจากพี่น้องประชาชน และผลงานความรู้ประสบการณ์ ตนขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาล 4 เดือน ของตนเต็มไปด้วยบุคลากรที่มีฝีมือมีความรู้ความสามารถและประสบความสำเร็จในชีวิต
ส่วนการที่กังวลเรื่องขาดความโปร่งใสตรงนี้ขอให้สบายใจได้ว่าต นรับฟัง นพ.ชลน่าน ทุกคำ จดความกังวลทุกคำและยินดีที่จะมาชี้แจงพร้อมกล่าวต่อว่า ความโปร่งใสเกิดจากการที่ต้องทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการถูกต้องตามกฎหมายตามกฏ ถูกต้องตาม และที่สำคัญคือ ต้องใจกล้าให้ทุกคนมาตรวจสอบได้ ตนขอยืนยันว่า รัฐบาลของตนต้องโปร่งใส และมีการตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ส่วนข้อกังวลสุดท้าย เรื่องที่ระบุว่ารัฐบาลนี้ดูแล้วขาดอนาคตเรื่องประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีระบุว่า ประชาธิปไตยคือการเคารพเสียงส่วนใหญ่ไม่เอาแต่ใจมาเป็นข้อตัดสิน
ตนกลับมองเห็นต่างเพราะมองว่า ตั้งแต่นี้ไปรัฐบาลจะวางรากฐาน และวางแนวทางแบบอย่างที่ดี ในการเป็นรัฐบาลที่จะทำให้อนาคตประชาธิปไตยมีความสดใส
อย่างน้อยนายกรัฐมนตรีคนนี้ จะไม่มีใครมาบงการได้ตัดสินใจเองคิดเอง และหารือกับคณะรัฐมนตรีทั้งหมดหารือกับบรรดาสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด ในการที่จะตัดสินใจที่จะทำประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ
การที่ท่านกล่าวหาว่า รัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ ท่านพูดไม่ผิดในเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา พร้อมขออนุญาตนายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ขอนับวันที่ 1 ตุลาคมคือวันแรก นับไปวันที่ 31 มกราคมยุบสภาแน่นอน ตรงนี้ถือเป็นพันธะระหว่างพรรคที่ลงนามใน MOA ตนทราบดีว่า ความมุ่งหมายของเราเป็นอย่างไร ตนเห็นพ้องกับพรรคประชาชนว่า เมื่อถึงเวลาอันสมควร จะต้องคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชน ดังนั้นรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจแต่มีติ่งท้ายนิดหน่อย
ติ่งท้ายที่ตนอยากจะขอกระทำและทำให้สำเร็จคือ จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่ต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายของประเทศที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลที่แล้วมา ตนยอมรับในสภาพนี้และคณะรัฐมนตรีของรัฐมนตรี 36 คน จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียกความเสียหายความสูญเสีย ทั้งในเรื่องเกียรติภูมิของประเทศ ในเรื่องของเศรษฐกิจขวัญกำลังใจ และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน กลับมาสู่ประเทศไทยและคนไทยให้ได้ในระยะเวลาทำงานที่มีอยู่ 4 เดือน ซึ่งมั่นใจว่าทำได้เพราะได้เตรียมการในเรื่องนี้มามากพอสมควรแล้ว
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า บางทีการทำงานทุกคนมีความรู้ความสามารถ แต่ต้องไม่เปรียบเทียบกัน บางครั้งท่านทำไม่ได้แล้วมาคิดว่าคนอื่นทำไม่ได้ด้วยมันก็ไม่ถูกนัก ตนก็ติดตามตอนที่นายแพทย์ชลน่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในระยะเวลา7 เดือนเท่ากัน ตนมั่นใจว่าตนได้ทำอะไรเยอะมาก แต่ขณะนั้นอาจจะมีเรื่องโควิด และเหตุการณ์วิกฤติทางด้านสาธารณสุข ตนจึงอาจมีบทบาทมากกว่าสมัยสมัยที่ นพ.ชลน่าน ดำรงตำแหน่ง แต่ไม่ว่าว่ากันเพราะตนเคารพอยู่เสมอ ซึ่งตนไม่ได้มีความรู้ความสามารถด้านวิชาชีพโดยตรง แต่เชื่อว่าท่านมีความรู้ความสามารถทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมืองไม่น้อยกว่าสมาชิกคนอื่นในรัฐสภาแห่งนี้
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเรื่องผลประโยชน์ส่วนใหญ่ ในนโยบายของรัฐบาลว่าไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ตนมองต่างเพราะรัฐบาลนี้ยกเลิกคาสิโน ยกเลิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่เอาเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับประชาชนเฉยๆ แต่พูดเรื่องการมีส่วนร่วมไม่มอมเมาประชาชนด้วยการพนัน ไม่ขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยธุรกิจการพนัน ตนมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่เห็นตรงกับรัฐบาลชุดนี้ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้พรรคภูมิใจไทย ถูกเชิญออกจากพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เพราะพวกเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลในขณะนั้น
นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ตนเคารพศรัทธาเสมอสำหรับนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่มีคุณประโยชน์กับคนไทยมหาศาลจนถึงปัจจุบันแต่ 30 บาทรักษาทุกที่ “อนุทินเป็นคนทำไม่ใช่ชลน่าน” ตนทำมาตั้งแต่สมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตลอดระยะเวลา 4 ปี ตนเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนานที่สุด ในการทำงานของรัฐมนตรีหลาย 10 คนที่ผ่านมา และเสียดายที่นโยบายฟอกไตฟรี สำหรับทุกคนรัฐบาลที่แล้วไม่ได้สานต่อ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของตน จะต้องทำให้เสร็จภายใน 2 เดือนหากไม่ทัน ตนจะต้องไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเอง
ส่วนเรื่องที่บอกว่า มีการพยามดึงและซื้อ ด้วยตัวเลข 1,000 หรือ 2,000 รวมกันแล้วเป็นตัวเลขหลายล้านอยู่ แต่ตัวเลขเหล่านี้สำหรับตนถือว่าเป็นตัวเลขอัพประมง คนมีคนพยายามที่จะทำให้มีตัวเลขนี้มาทำให้คนใน พรรคฝ่ายค้านหลายคนขนาดนั้นไขว้เขว แต่โชคดีที่เป็นตัวเลขที่ทุกคนเห็นว่า เป็นตัวเลขที่เป็นมงคล เป็นตัวเลขที่เอาไปแล้วไปทำให้อนาคตของประชาธิปไตยมืดมน แต่คนที่ทำเป็นฝั่งที่อยู่ในรัฐบาลตอนนั้น ไม่ใช่มาจากพรรคภูมิใจไทยอย่างแน่นอน จนขอความมั่นใจและตนพร้อมทีมงานพร้อมที่จะพิสูจน์ทุกคน
ตนเคยอยู่ในรัฐบาลเดียวกับ นพ.ชลน่าน นโยบายต่างๆ ตนก็พร้อมจะสนองทุกเรื่อง ยกเว้นไปแตะถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศความเสียหายของประเทศ และคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน จนต้องตัดสินใจไม่รวมรัฐบาล ถือเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญออกมา และทำให้พี่น้องประชาชนทราบว่า พรรคไหนที่คิดถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
การที่ท่านมาบอกว่านโยบายของรัฐบาลนี้เป็นปัญหามากกว่าทางออก ตนและคณะรัฐมนตรีของตนทั้ง 36 คนตอบแทนได้เลยว่า ไม่ใช่ นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ และรัฐมนตรีทุกคนที่ต้องทำงานอย่างหนัก จะผลักดันทุกนโยบายให้เป็นทางออกของประเทศ และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตนอยากย้อนคำพูดว่าเราเคยอยู่ด้วยกัน 20 กว่าปีก่อนตนอยู่ในคณะรัฐบาลที่มี ทุกคนยอมรับการทำงานของท่านคือ ท่านทักษิณชินวัตร เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี แล้วมีแต่การพูดถึงปัญหาให้คณะรัฐมนตรีฟัง ทั้งที่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ตอนนั้นตนเป็นรัฐมนตรีแล้ว นพ.ชลน่าน นั้นเป็นเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในที่ประชุมตนจำจนถึงทุกวันนี้ว่า ท่านนายกทักษิณมักจะไม่พอใจกับคณะรัฐมนตรี ที่นำเอาปัญหามาเป็นข้อแก้ตัวในการทำงาน ตั้งแต่วันนั้นมาตนพูดกับตัวเองว่า จะไม่มีวันให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับตน หากตนต้องทำงานไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือไปทำงานที่ไหนก็ตาม เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหาเช่นนี้ ท่านจะปิดไมค์รัฐมนตรีคนนั้น แล้วพูดว่า “จำไว้นะ loser see problem in a solution" แปลว่าผู้แพ้จะเห็นปัญหาในทุกทางออก และ “ winner sea solution with Problem" ผู้ชนะจะเห็นทางออกในทุกปัญหา ซึ่งตนและรัฐมนตรีทุกคนเป็นอย่างหลัง จะชนะหรือไม่ชนะไม่รู้แต่พวกตนเห็นทางออกในทุกปัญหา
จากนั้น นพ.ชลน่าน ได้ลุกตอบโต้ ถูกกล่าวถึงตอนที่ที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในระยะเจ็ดเดือน ตนขอไม่เถียงตรงนี้ว่า ดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ขอชี้แจงว่า 30 บาทรักษาทุกที่ อนุทินไม่ใช่ชลน่าน ตนมีหลักฐานเชิงประจักษ์ในการชี้แจงเรื่องนี้ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า นายอนุทินหมายถึงอย่างไรแต่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย สมัยรัฐบาลที่ผ่านมาคือรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตนเป็นรัฐมนตรีสาธารณสุข และดำเนินนโยบายนี้ตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา นี่คือข้อเท็จจริง
ส่วนการที่ท่านพูดถึงนายกทักษิณ ที่ท่านให้ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ และกล่าวชื่อตนในฐานะเลขารัฐมนตรี ตนอาจจะสติปัญญาไม่ถึงตีความหมายไม่ถึงว่า ตนไปเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีได้อย่างไร เพราะตนเป็นเพียงเลขารัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์เข้าไปนั่งในห้องประชุมคณะรัฐมนตรีเลย