
23 กันยายน 2568 ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ เขียนบทความเสนอข้อพิจารณาถึง นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ที่วันนี้ต้องรับหน้าที่เป็น “กัปตัน” ในการนำพา “รัฐนาวาไทย” ให้ผ่านวิกฤตไทย-กัมพูชาไปให้ได้ โดยระบุข้อเสนอ 10 ประการ ถึงบทบาทของนายกฯ อนุทิน ดังนี้
1.นายกฯ ควรเป็นผู้นำในการเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ใหม่ ไม่ใช่เป็นการเสนอแบบเข็มมุ่ง ที่ฝ่ายซ้ายในอดีตชอบยกมากล่าว คือ "แยกกันเดิน รวมกันตี" เพราะประเทศต้องการยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหา ข้อเสนอในแบบเข็มมุ่งเช่นนี้ ไม่ตอบโจทย์เชิงนโยบายสำหรับฝ่ายปฏิบัติ
2.นายกฯ ต้องทำความเข้าใจว่า รัฐบาลบทบาทสำคัญในการเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศ และกองทัพมีหน้าที่ในการนำเอายุทธศาสตร์ไปปฏิบัติ ไม่ใช่ปล่อยให้ทหารไปคิดยุทธศาสตร์ ตามที่นายกฯ กล่าวที่ วปอ.
3.นายกฯ ไม่ควรเล่นกับกระแส “ชาตินิยม-เสนานิยม” แบบสุดตัว เพราะกระแสนี้อาจพารัฐบาลเข้าไปติดกับดัก ด้วยการแก้ปัญหาในแบบชาตินิยม ที่อาจจบลงด้วยการทำสงคราม และต้องไม่ลืมว่า สงครามที่ปราสาทพระวิหารในปี 2554 ไปจบลงด้วยการอุทธรณ์ของกัมพูชาต่อศาลโลก ที่มาพร้อมกับคำตัดสินในปี 2556 และทำให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียประโยชน์
4.นายกฯ ต้องตระหนักว่า ในความเป็นผู้นำรัฐบาลนั้น นายกฯ ควรนำเสนอถึงสิ่งที่นักยุทธศาสตร์เรียกว่า “Exit Strategy” ที่หมายถึง ยุทธศาสตร์ในการแสวงหาทางออกจากปัญหา เพื่อให้สังคมเกิดความหวังในการยุติปัญหาความขัดแย้งในอนาคต
5.นายกฯ อาจต้องทำความเข้าใจกับ "โครงสร้างและระบบงาน" ความมั่นคงของประเทศ เพราะระบบนี้กำหนดบทบาทสำคัญไว้กับ 4 ตำแหน่งหลัก คือ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ บุคคลทั้ง 4 ตำแหน่งคือ “จตุรัสความมั่นคงไทย” ซึ่งจะต้องทำหน้าที่เป็น “จักรกล” ในการจัดการปัญหาความมั่นคงของประเทศ แต่ในสถานปัจจุบัน มีคำถามเฉพาะหน้าในทางการเมืองว่า ใครคือรองนายกฯ ในตำแหน่งนี้
6.นายกฯ ควรพิจารณาว่า แม้ปัญหาชายแดนอาจจะดูเป็นโจทย์ที่ใกล้ตัว เพราะเป็นเรื่องในแนวชายแดนของเรา แต่ในความเป็นจริง ปัญหาชายแดนเป็นโจทย์ระหว่างประเทศ และต้องการเครื่องมือในการแก้ปัญหามากกว่าเครื่องมือทางทหาร หรือปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของกระทรวงกลาโหม และกองทัพฝ่ายเดียวแต่อย่างใด หน่วยงานที่ต้องมีบทบาทอย่างสำคัญในเรื่องนี้ คือ กระทรวงการต่างประเทศ
7.นายกฯ ต้องออกแรงผลักดันให้ “กลไกรัฐด้านความมั่นคง” ทั้ง 4 ส่วนสามารถสอดประสานทำงานได้ ภายใต้การควบคุม และกำกับในเชิงนโยบายจากรัฐบาล กลไกเหล่านี้จะต้องไม่ถูกปล่อยให้ดำเนินนโยบายเองอย่างเป็นเอกเทศ และทั้งจะต้องคิดถึงเรื่อง “การจัดความสัมพันธ์พลเรือน-ทหาร” ที่ช่วยในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
8.นายกฯ ต้องระวังไม่ให้ถูกกดดันจาก “กระแสสื่อ” ที่การทำข่าวปัญหากัมพูชามีลักษณะในเชิง “ปลุกเร้าอารมณ์” แทบไม่ต่างจากการทำข่าวใน “คดีลุงพล” การทำข่าวของสื่อที่เน้น “เรตติ้ง” ในเชิงอารมณ์ความรู้สึก และดำเนินไปในแบบ “สร้างกระแสเรียกคนดู” จึงมีส่วนสำคัญในการผลักดันกระแส “ชาตินิยม-เสนานิยม” ที่วันนี้มีข้อวิจารณ์ว่า บทบาทของสื่อเช่นนี้ไม่แตกต่างกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งที่ระดับทางสังคมของไทยในบริบทของสื่อน่าจะสูงกว่ามาก
9.นายกฯ ควรพิจารณาด้วยความรอบคอบ ต่อข้อเสนอของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ที่ต้องการให้ยกเลิก MOU 2543 และ 2544 เพราะการยกเลิกจะเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชา ที่จะไม่มี “กรอบการเจรจา” กำกับไว้ และเมื่อยกเลิกแล้ว ก็ต้องจัดทำขึ้นใหม่ ซึ่งอาจจะไม่เป็นประโยชน์เท่าเดิมแก่ฝ่ายไทย (อยากขอให้ท่านนายกฯ อ่านเอกสารทั้ง 2 ฉบับอย่างเปิดใจกว้างด้วยตนเอง และเอกสารทั้ง 2 นี้ไม่ยาวแต่อย่างใด)
10.นายกฯ ในความเป็นผู้นำรัฐบาล จะต้องคิดใน 2 เรื่องใหญ่สำหรับอนาคต คือ ยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการชายแดนไทย-กัมพูชา
ทั้งนี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ได้ระบุท้ายบทความว่า ข้อพิจารณาทั้ง 10 ประการนี้ ทำขึ้นด้วยความหวังที่จะเห็นการแก้ “วิกฤตการณ์ไทย-กัมพูชา 2568” เป็นไปอย่างมีทิศทาง อันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ในทางยุทธศาสตร์ที่เป็นบวกแก่ประเทศไทย และผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ในทางการเมืองแก่ตัวนายกฯ และรัฐบาลนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย !