
21 กันยายน 2568 คุณศักดา นพสิทธิ์ ในฐานะนักการเมืองผู้ผ่านสนามเลือกตั้ง สส.มาอย่างโชกโชน ปัจจุบัน ผันตัวมาเป็นนักวิเคราะห์ทางการเมือง ได้ฉายภาพบุคคลสำคัญในพรรคการเมืองสองพรรค นั่นคือ
คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯมนตรี ที่เป็นเสมือนผู้นำจิตวิญญาณพรรคเพื่อไทย กับ คุณเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีหลายสมัย และเคยร่วมงานกับคุณทักษิณ ก่อนแยกตัวมาสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย
ทั้งสองคนนี้ มีความเหมือนและแตกต่าง ในการเดินหมากพรรคการเมืองที่ตนสนับสนุนอย่างไร
คุณศักดา เริ่มต้นฉายภาพความแตกต่างของสองบุคคลนี้ว่า อดีตนายกฯทักษิณ ทำอะไรหลายอย่าง คนมองคล้อยไปทางเชื่อว่า ครอบงำ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เมื่อมาดู คุณเนวิน คนไม่มองว่า คุณเนวิน ครอบงำพรรคภูมิใจไทย เพราะการยืนระยะ หน้าฉาก หลังฉาก มีความแตกต่างกัน
“คุณเนวิน ถอยออกไปเลย โลว์โปรไฟล์ ออกไปเลย แต่ผมเชื่อที่มองพรรคภูมิใจไทย มองคุณเนวิน เหมือนสามก๊ก คือ”สุมาอี้”เลย ซ่องสุม รอเวลา ในขณะที่ภาพลักษณ์ภูมิใจไทย ออกมา
ลองไปสอบถามคนทั่วไป คิดว่าพรรคภูมิใจไทยแนวความคิดมาจากกรรมการบริหารพรรค มาจากหัวหน้าพรรค หลายคนไม่ได้ตอบว่า มาจากกรรมการบริหารที่เป็นกรรมการบริหารพรรคขณะนี้หรอก ไม่ได้มาจากคุณอนุทินหรอก
มีส่วนร่วมตัดสินใจอย่างสูงมากเลย จากคุณเนวิน แต่ทำไมเขาไม่มองว่า คุณเนวินครอบงำพรรคภูมิใจไทย นั่นคือการยืนระยะที่แตกต่างกัน “
คุณศักดา เปรียบเทียบจังหวะการเมืองของสองคนนี้ต่อไปว่า คุณทักษิณชอบที่จะสื่อสาร และบางครั้งเร็วไป การเร็วไปทำให้อีกฝ่ายรู้แผน คนไม่ชอบก็มี พอเขารู้ปั๊บ ก็ไปแก้เกม การพูดล่วงหน้าเป็นสิ่งไม่ดี แต่คุณเนวิน ไม่มีอะไรพูดล่วงหน้าเลย แต่ เป็นลักษณะ ซ่องสุม อันนี้เป็นภาษาไม่ได้ทำให้ท่านเสียหาย กลบเกลื่อน แล้วทำ ไม่ใช่ไม่ทำนะ
“กรณีสว.นั้น ใครจะไปเชื่อ ผมเคยพูดหลายรายการ ด้วยซ้ำไปว่า แรกๆก่อนมีเรื่องการร้องดำเนินคดีฮั้วสว. มีแต่คนพูดก่อนหน้าแล้วว่า สว.สีน้ำเงิน การใส่เสื้อสีน้ำเงิน ไม่มีสว.ออกมาตอบโต้เลยว่าผมไม่ใช่สว.สีน้ำเงิน จนกระทั่งมีการร้อง ดีเอสไอสอบ เป็นคดีฟอกเงิน จนสู่ขบวนการฟอกเงินเป็นปีๆแล้ว สว.เหล่านั้นค่อยมาบอกว่าไม่ได้เป็นสว.สีน้ำเงิน แต่มันสายไปแล้ว สาธารณะได้รับรู้ไปแล้ว ซึ่งท่านจะปฏิเสธอย่างไรหรือไม่ คนตัดสินใจไปแล้ว พรรคภูมิใจไทย ก็ไม่เคยปฏิเสธ ตอนยังไม่มีเรื่อง มาปฏิเสธครั้งหลังนี่หล่ะ เขาพูดว่าเป็นพรรคสีน้ำเงิน แต่ไม่ได้ปฎิเสธว่า สว.สีน้ำเงิน อยู่กับตน
คุณศักดา กล่าวว่า ในทางการต่อสู้แข่งขันทางการเมือง เมื่อเราไม่รู้แผนเลยว่าคุณเนวิน จะดำเนินการอย่างไร มันต่อสู้ลำบาก แต่กรณีของอดีตนายกฯ ถ้าเอาเทปมาดู ว่าต่อยแบบนี้ มีทรงแบบนี้ มาถอดรหัสก็ถูกแก้เกมหมด เหมือนกีฬาโดยทั่วไปดูว่าคู่แข่งเดินเกมอย่างไร มันต้องมีโค้ช
“ทักษิณ” เชื่อมั่นตนเองสูง “รู้เรา แต่ไม่รู้เขา”
คุณศักดา ตอบคำถามทีมข่าวเนชั่นว่า เหมือน ทักษิณ รู้เราแต่ไม่รู้เขา ว่า “ใช่ครับ” ทางพรรคเพื่อไทยมีความเชื่อมั่นตนเองสูง ไม่ค่อยเชื่อว่าคู่แข่งมีศักยภาพ นี่เป็น ข้อด้อยในการวางแผนของเพื่อไทย ในขณะเดียวกัน การรวบรวมคนมีความรู้ความสามารถ มากกว่าคนใกล้ชิด หรือเชลียร์นาย สัดส่วนไม่เท่ากัน เยอะด้วย จนทำให้การตัดสินใจเบี่ยงเบนไป ในขณะที่ตนมอง คุณเนวิน หรือพรรคภูมิใจไทย ในระดับการตัดสินใจเปิดรับฟอนะ แต่การตัดสินใจค่อยว่ากันอีกครั้ง ซึ่งไม่สามารถจะมีคนมาหว่านล้อมหรือว่าเชลียร์ใกล้ชิด เพราะเขาคงได้รับบทเรียนมา แต่คนที่ใกล้ สังเกตหรือไม่ กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยล้วนเป็นลูกบ้านใหญ่หมด
”เนวิน” วางบท”สุมาอี้” ซ่องสุมกำลังท้องถิ่น
คุณทักษิณ พรรคเพื่อไทยพยายามจับบ้านใหญ่เหมือนกัน ในระหว่าง คุณทักษิณไม่อยู่ในประเทศ คุณเนวินเห็นเลยว่า การทำงานการเมืองภาพใหญ่ ต้องทำงานการมืองท้องถิ่น ต้องจับบ้านใหญ่เพราะบ้านใหญ่หลายที่ นายกเทศมนตรี กำนัน นายกอบจ.ส่วนใหญ่ ล้วนแล้วเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจังหวัดนั้นๆ ที่เราเรียกบ้านใหญ่เกือบทั้งนั้น เข้ามาจับ แต่คุณทักษิณ ก็กลับมาเดินสาย เข้าบ้านใหญ่ ซึ่งเดินช้า กว่าเข้าไป ซึ่งก่อนหน้านั้น ตอนเป็นไทยรักไทย ครั้งนั้น รวมนักการเมือง รวมเป้าหมายที่สส.ไม่ได้รวมบ้านใหญ่ ความหมายไม่เหมือนกัน แต่บังเอิญเขาเหล่านั้น เป็นบ้านใหญ่อยู่ในตัวไม่ได้มองที่ท้องถิ่น แต่คุณเนวิน เนื่องจากเป็นสจ.มาก่อน เข้าใจบทบาทเป็นจังหวะก้าว
ฉะนั้น คนที่จะเล่นสนามใหญ่ต่อไปควรเล่นสนามเล็ก แล้วพอเล่นสนามใหญ่รู้ว่าสนามเล็กมีอิทธิพลมาก ถ้าหากในเขตพื้นที่ไหน นายกเทศมนตรีในเขตเลือกตั้งนั้นๆ สนับสนุนกำนัน สนับสนุนนายกอบจ. ซึ่งคุมสจ. อยู่ มีนายกอบจ.อยู่ สนับสนุน สนามใหญ่จะง่าย เพราะผลที่สุด ต้องมาหาเครือข่าย เพราะมีดาวไลน์เป็นชาวบ้านอยู่แล้ว แต่ถึงเวลาจะไปหาชาวบ้านเลย ผลที่สุด ทุกพรรคการเมืองต้องไปหาหัวคะแนน ทั้งหมดเพียงแต่ว่ามีพรรคประชาชนเท่านั้น ที่ยังทำไม่ได้
ภท. เป้าหมายเป็นพรรคอันดับ 1
คุณศักดา มองการเติบโตพรรคภูมิใจไทย หลังมาเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ว่า ถ้ามองเป้าหมาย ตอนนี้ยังไม่ที่สุดของเขา เป้าหมายของเขา ต้องการเป็นพรรคอันดับหนึ่งของทุกพรรค แต่จะทำได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่อง
คราวนี้ปัจจัย นำไปสู่ตรงนั้นได้ วันนี้ได้มีสถานการณ์เอื้อแล้ว เป็นตัวแปรให้เขาไปถึงตรงนั้นในอนาคตได้ นั่นคือเป็นแกนหลักรัฐบาล รมต.เกินครึ่งเป็นของภูมิใจไทย นายกฯเป็นคนของภูมิใจไทย ในขณะที่ได้เปรียบ พรรคอื่นยังหาหัวขบวนไม่ได้เลย นั่นคือ แคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าเป็นพรรคประชาชน ถ้าไม่ใช่ณัฐพงษ์คนเดิม สองพรรคเพื่อไทยยังหาอยู่ พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังหาอยู่ ซึ่ง พรรคเหล่านี้ ความเป็นพรรคต่ำกว่าห้าสิบเสียง มันสูงอยู่แล้ว วันนี้เราคงต้องมองที่สามพรรค คือภูมิใจไทย เพื่อไทย ประชาชน ฉะนั้นการตั้งหลักตรงนี้ได้ก่อนเป็นข้อได้เปรียบในนามภูมิใจไทย
ชิงความได้เปรียบ เดินสายตุนคะแนน
“ วันนี้ผมเชื่อว่า คุณอนุทินในฐานะนายกฯ จะเดินสายให้คนทั้งประเทศรู้ว่า คุณอนุทินเป็นนายกฯของพรรคภูมิใจไทย และดึงภาพภูมิใจไทยไปด้วย และง่ายต่อการที่กระแสตอบรับในระยะเวลาอันสั้น จะทำให้คนที่สนใจการเมืองถ้าจะลงสนามใหม่ พรรคภูมิใจไทย อาจเป็นพรรคหนึ่งในสามพรรคน่าเป็นตัวเลือก ฉะนั้นเขาจะคัดเลือกนักกีฬาได้ง่ายและดีกว่าคนอื่น”
“ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่า การได้รับสนับสนุนงบประมาณ จะมีผลสูง และชั่วโมงนี้ใกล้เลือกตั้ง ใครเป็นรัฐบาลค่อนข้างได้เปรียบ นี่คือข้อเสียดายที่พรรคเพื่อไทยตอนเป็นรัฐบาล แล้ว กลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ปล่อยโอกาสนั้นไป ซึ่งบทเรียนนี้ ถูกถอดบทเรียนโดยครุเนวิน แน่นอน เขาจะกำชับเลย ไม่ให้รมต.ของพรรคไปแปดเปื้อนการทุจริต เพราะระยะเวลาสั้น แล้วจะจำติดตัว แล้วจะถูกนำไปพูดเป็นประเด็นในตอนหาเสียง แล้วเสียหาย ฉะนั้นต้องห้ามเรื่องนี้ ส่วนรมต.คนอื่น ที่จะมาอยู่พรรคภูมิใจไทย ก็เหมือนกัน แล้วถ้าทำได้ ถ้าหากเห็นว่าออกนอกลู่นอกทาง ทุจริต ปรับออกเลย เขาจะได้แต้ม นี่คือการชิงความได้เปรียบอีก 4 ปีข้างหน้า ตอนนี้เป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้นของภูมิใจไทย”