
20 กันยายน 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว ที่พรรคเพื่อไทย อาจจะดึง นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามี น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกเขยคนโตของนาย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า ทำให้สังคมนำไปจับคู่เปรียบเทียบคุณสมบัติกับตนว่า เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทย จะคัดเลือกแคนดิเดตนายกฯ ของเขาเองว่า จะส่งใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต
"ตัวผมเองเชื่อมั่นว่า มีความพร้อมในประสบการณ์ ที่ทำงานการเมืองมากว่า 6 ปี รู้ในเรื่องระบบงบประมาณ รู้ในเรื่องกลไกของระบบราชการ ก็จะเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบทึ่สำคัญ ของคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งในนายกรัฐมนตรีในอนาคต"
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าให้กำลังใจ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะส่งใครมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ สิ่งที่ดีที่สุดของประชาชนคนไทย คือมีแคนดิเดตนายกฯ ที่มีความรู้ความสามารถ และพร้อมจะเข้ามาบริหารประเทศ เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับทุกๆ คน ประชาชนก็จะได้เลือกสิ่งดีๆ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
"เท้ง" ห่วง "ครม.อนุทิน1" หลายคน หลังได้เห็นหน้าตา เตรียมใช้เวทีแถลงนโยบายรัฐบาลตรวจสอบ
โดยเฉพาะคนมีคดีติดตัว เมิน "เพื่อไทย" ประกาศตัวไม่ร่วมวิปฝ่ายค้าน ยัน อยากให้ทำงานร่วมกัน ไม่อยากให้ค้านกันเอง บอก ไม่จำเป็นต้องคุยกับเพื่อไทยก่อน เหตุ อาวุโสน้อย มอง อนุทิน โพสต์ภาพ กินข้าว อภิสิทธิ์ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยกัน ไม่กังวลนัยยะทางการเมือง มั่นใจ เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากไม่ได้ แม้จะดูด สส.มาร่วม /เชื่อหากพรรคเพื่อไทยยังคงทำหน้าที่ฝ้ายค้านอย่างเข้มแข็ง จะกำกับทิศทางให้รัฐบาลภูมิใจไทยเดินหน้าไปตามกรอบของ MOA ได้
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวถึงหน้าตาของ ครม.นายอนุทิน โดยยอมรับว่า มีข้อห่วงใยหลายๆ คน ซึ่งตอนนี้ได้รับโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว คงต้องรอกระบวนการถวายสัตย์ฯ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะเป็นหนึ่งหมุดหมายแรก ที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างเต็มที่แน่นอน
ส่วนกรณีที่ รัฐมนตรีบางคนมีคดีอยู่ในชั้น ป.ป.ช.นั้น มองว่า จะต้องมีการนำเสนอข้อมูลอยู่แล้ว โดยในวันแถลงนโยบายฯ พรรคประชาชนเตรียมผู้อภิปรายไว้แล้ว จะมีการอภิปรายถึงตัวคุณสมบัติ และความเหมาะสมของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละท่าน รวมถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ในกรอบระยะเวลา 4 เดือนด้วยว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร รวมถึงจะต้องดูแผนการทำงาน ที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติไปตามกรอบของ MOA 4 เดือน ซึ่งจะเป็นกรอบเนื้อหาคร่าวๆ ในการเตรียมการอภิปรายวันแถลงนโยบาย
ส่วนการอภิปรายจะแบ่งกันอย่างไร หลังจากพรรคเพื่อไทย ประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระนั้น นายณัฐพงษ์ มองว่า การทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่างคนต่างทำหน้าที่ได้อยู่แล้ว เพราะใครที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาล ก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่ คงไม่ได้มีปัญหาอะไรในการทำงานในสภา ซึ่งการทำงานภายในวิปฝ่ายค้าน คงจะมีการแบ่งเวลา มีการตกลงกัน ส่วนเสื้อหาคงไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับแต่ละพรรค เพราะแต่ละพรรคคงทำหน้าที่เตรียมเนื้อหาได้เอง
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย จะไม่เข้ามาร่วมในวิปฝ่ายค้านด้วยนั้น นายณัฐพงษ์ บอกว่า ตามกฎหมายพรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรครัฐบาล อยู่เพราะมีตำแหน่งรองประธานสภาฯ แต่ในทางปฏิบัติอยากให้พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ เพราะตราบใดที่พรรคเพื่อไทย ยังคงทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็งอยู่ การจะกำกับทิศทางให้รัฐบาลภูมิใจไทย เดินหน้าไปตามกรอบของ MOA ก็มีความเป็นไปได้เกือบ 100% ดังนั้นการทำงานระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็ไม่อยากให้เอาอุปสรรคอื่นๆมาเป็นตัวขวางกั้น และอยากให้พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ตัวเองอย่างเต็มที่
เมื่อถามว่า ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านต้องไปคุยกับพรรคเพื่อไทย เพื่อให้การทำงานไม่สะดุดหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ก็มีการประสานงานพูดคุยกันในสภาอยู่แล้ว ตนไม่อยากให้มีการแสดงท่าที่ เหมือนว่าไม่อยากจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ ไม่อยากให้กลายเป็นฝ่ายค้าน มาค้านฝ่ายค้านด้วยกันเอง ยืนยันว่าการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ในสภา ไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาชน ก็ถือเป็นทางออกสำหรับประเทศมากที่สุด
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสน้อยกว่า จะไปพูดคุยกับพรรคเพื่อไทยนั้น นายณัฐพงษ์ มองว่า ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องให้ใครไปเข้าหาใครก่อน เพราะการทำหน้าที่ในสภาต้องมีกลไก วิปต่างๆ ที่จะพูดคุยกันได้อยู่แล้ว จึงไม่อยากให้ใครต้องถือทิฐิ หรือถือความแค้นอะไรต่อกัน แต่อยากให้เอาโจทย์ของประเทศเป็นตัวตั้ง เพราะตอนนี้ประเทศกำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ดี ถ้ามีการยุบสภาในภายกรอบระยะเวลา 4 เดือน และมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ตกลงกันใน MOA ประชาชนก็จะได้ประโยชน์มากที่สุด จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยเอาประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง
ส่วนกระแสที่กล่าวหาว่า พรรคประชาชนพายเรือให้โจรนั่งนั้น นายณัฐพงษ์ ระบุว่า คงต้องดูการทำหน้าที่ของพรรคประชาชน และเวทีแรกคือ การอภิปรายการแถลงนโยบายฯ แต่หากการอภิปราย อาจจะยังไม่แรงพอ และยังไม่สามารถทำให้รัฐบาลของนายอนุทิน กลับไปในทิศทางที่ถูกที่ควรได้ หรือหากมีการแสดงออกที่เห็นว่า ใช้อำนาจฝ่ายบริหารไปแทรกแซงคดีต่างๆ ก็พร้อมใช้กลไกลที่หนักมากขึ้น เช่น การอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนสิ่งไหนเป็นสิ่งที่รัฐบาลอนุทิน ควรจะต้องเร่งแก้ไขปัญหานั้น นายณัฐพงษ์ มองว่า ตามกรอบระยะเวลา 4 เดือน อาจจะแก้ปัญหาอะไรใหญ่ๆ ได้ไม่ทัน เพราะระยะเวลาค่อนข้างสั้น ดังนั้นเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลอนุทินต้องเดินไปตามกรอบของ MOA ส่วนนโยบายอื่นๆ ที่จะส่งผลผูกพันไปยังอนาคต ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ในเดือนมีนาคม ก็คงจะต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างระมัดระวัง เพราะตอนนี้ประชาชนต้องการเลือกตั้งใหม่ และได้รัฐบาลที่สะท้อนเจตจำนงและมีความชอบธรรมสูง ดังนั้นพรรคประชาชนก็เตรียมจะตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลอนุทินด้วย
ส่วนที่มีภาพนายอนุทินไป รับประทานอาหารร่วมกันกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี มองว่ามีนัยยะทางการเมืองอย่างไรนั้น นายณัฐพงษ์ ระบุว่า เป็นเรื่องปกติที่จะมีการพูดคุยกัน ส่วนการโพสต์ภาพออกมา ต้องการจะสื่ออะไรหรือไม่นั้น ต้องไปถามนายอนุทิน
ส่วนกังวลใจหรือไม่ว่า การโพสต์ภาพแบบนี้จะมีนัยยะทางการเมืองในอนาคต นายณัฐพงษ์ ยืนยันว่า ไม่กังวลใจ และให้กลับมามองที่หน้ากระดานการเมือง จำนวนเก้าอี้ สส. และตอนนี้ไม่มีความเป็นไปได้อื่นใด ที่จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างมาก ถ้าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็ง ก็จะสามารถรักษาเสียงในพรรคให้อยู่ร่วมกัน ซึ่งตอนนี้อาจจะมีข่าวที่ปรากฏออกมาว่า นายอนุทินจะดูดเสียง สส.มาอยู่ร่วมกับพรรคภูมิใจไทยมากยิ่งขึ้นนั้น ย้ำว่าตนไม่ได้มีข้อห่วงใยอะไร หากฝ่ายค้านทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เราก็จะกำกับทิศทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยให้เป็นไปตาม MOA ได้