
องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี พร้อมด้วยสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน-มังคุด และบริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เซ็นทรัลแล็บไทย ร่วมลงนามความร่วมมือ ภายใต้โครงการ “Chanthaburi Green Smart City: สร้างเมืองผลไม้เพื่อการส่งออกด้วยมาตรฐานสากล” สร้างความเข้าใจ และยกระดับมาตรฐานในทุกด้าน ให้กับผู้ประกอบการทุเรียนในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หลังพบว่า ฤดูกาลส่งออกที่ผ่านมา ประเทศคู่ค่าสำคัญ ตรวจพบสารปนเปื้อน แคดเมียม และ BY2 และตีกลับสินค้าส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออก และเกษตรกรจำนวนมาก
โดยเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ คือการสร้างความตระหนัก ในการตรวจมาตรฐานทางห้องปฏิบัติการในทุกขั้นตอน ได้แก่ ดิน น้ำ ปุ๋ย การตรวจประเมินสวน (GAP) การตรวจสารเคมีตกค้างในผลผลิต เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการยืนยันถึงผลผลิตที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และตามข้อกำหนดของประเทศคู่ค้าสำคัญ คือ จีนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก เซ็นทรัลแล็บไทย ในฐานะห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025
นายธนภณ กิจกาญจน์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า ด้วยปัญหาส่งออกทุเรียนหลักที่พบในขณะนี้ คือ การถูกเข้มงวดจากตลาดจีนเรื่องสารตกค้าง เช่น สาร BY2 และแคดเมียม ซึ่งพบว่าทุเรียนไทยบางส่วนมีการปนเปื้อน ทำให้เกิดการตีกลับและระงับการส่งออก รวมถึงทุเรียนเวียดนามมีต้นทุนต่ำกว่า และส่งออกได้มากขึ้น ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในจีน รวมถึงยังมีปัญหาภัยแล้ง สภาพอากาศที่แปรปรวน และการพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป ก็เป็นปัจจัยท้าทายที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกทุเรียนไทยด้วย
โดยภาครัฐได้หาแนวทางแก้ไขเบื้องต้น ในการยกระดับมาตรฐานการผลิตทุเรียนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยจากสารตกค้าง โดยการควบคุมและบทลงโทษที่ชัดเจน โดยกรมวิชาการเกษตร ต้องเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของสารตกค้าง และมีระบบตรวจสอบพร้อมบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับล้งหรือโรงคัดบรรจุที่ละเมิดมาตรฐาน การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์แป้ง และระบบ QR Code เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบย้อนกลับ
ด้าน นายมณฑล ปริวัฒน์ นายกสมาคมผู้ประกอบการทุเรียน-มังคุด กล่าวว่า โครงการ “Chanthaburi Green Smart City สร้างเมืองผลไม้เพื่อการส่งออกด้วยมาตรฐานสากล” เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรผ่านการพัฒนากระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำภายในจังหวัดจันทบุรีให้ได้รับรองตามมาตรฐานที่กำหนด นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสการส่งออกในเวทีโลก โดยเฉพาะตลาดจีนที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย คุณภาพ และความยั่งยืน เป้าหมายของเราคือการเปลี่ยนผ่านจากการขายผลไม้ในรูปแบบสินค้าเกษตรทั่วไป ไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในฐานะ ‘อุตสาหกรรมผลไม้’ ที่มีระบบมาตรฐานสากลรองรับ ทั้งด้านการตรวจสอบย้อนกลับ การรับรอง GAP / Global GAP การใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data เพื่อจัดการข้อมูลสวนและผลผลิต ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมในโรงคัดบรรจุที่สะท้อนภาพลักษณ์สินค้ามูลค่าสูง
นายชาคริต เทียบเธียรรัตน์ กรรมการผู้อำนวยการเซ็นทรัลแล็บไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านเซ็นทรัลแล็บไทย มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวน ในการเป็นห้องปฏิบัติการด้านการตรวจสอบสารตกค้าง โดยเฉพาะสถานการณ์ที่จีนเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบสารตกค้าง เช่น สาร BY2 (สารชุบสี) ทางเซ็นทรัลแล็บไทย ได้ดำเนินการ พัฒนาวิธีการทดสอบ เพื่อให้ทันสถานการณ์
ทั้งนี้ การสุ่มตรวจตัวอย่างดิน โดยเซ็นทรัลแล็บไทย ได้ร่วมกับ อบจ.จันทบุรี และสมาคมฯลงพื้นที่เก็บตัวอย่างดินในทุกอำเภอ ของจังหวัดจันทบุรี สุ่มตัวอย่างจำนวน 450 ตัวอย่าง เข้าตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า ส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน GAP DOA ตามที่กรมวิชาการเกษตร กำหนดไว้ ที่ 0.15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบปัญหาเพียง 15 ตัวอย่าง คิดเป็น 3 % ที่มีค่าสูงกว่ามาตรฐาน แต่อยู่ในระดับที่สามารถแก้ไขได้เพื่อให้กลับไปอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด โดยใช้ปุ๋ยจุลินทรีย์ในการปรับปรุงดินแทนการใช้ปุ๋ยเคมี หรือ ปลูกพืชล้มลุก ที่มีคุณสมบัติในการดูดสารแคดเมียมได้ เช่น พืชตระกูลผักกาด และ กะหล่ำ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี และเซ็นทรัลแล็บไทย มีแผนในการบูรณาการความร่วมมือด้านวิชาการและเทคโนโลยี เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพ ได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและผู้นำเข้าในต่างประเทศ ผลักดันการส่งออกผลไม้ ไปยังตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าเกษตร และส่งเสริมรายได้กลับคืนสู่ประเทศอย่างยั่งยืน