
17 กันยายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 จังหวัดสมุทรสงคราม ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท.65/2567 ที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีต ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 86 , 157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 172 พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐฯมาตรา 4,12
กรณีดำเนินการโครงการก่อสร้างที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าห้วยคมกฤต อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมิชอบ โดยจำเลยทั้ง 7 ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 6,7 ขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธแล้วให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว สำหรับความผิดฐานตกลงร่วมกันในการเสนอราคาที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
ในส่วนของจำเลยที่ 1 , 2 และที่ 4-7 และความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ
ในส่วนของจำเลยที่ 2-7 นั้นโจทก์จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดฐานต่างๆ ดังกล่าวมายังศาลภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ซึ่งโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันกระทำความผิด คดีความผิดฐานต่างๆ ข้างต้นจึงขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้อง สำหรับความผิดฐานดังกล่าวของโจทก์ จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6)
แม้จำเลยทั้ง 7 จะมิได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ส่วนความผิดฐาน เป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ ตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์ แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด เเห่งที่ 1 เเละ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 6,7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยการกีดกันไม่ให้มีการเสนอสินค้าอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐฯ เพื่อเอื้ออำนวยแก่จำเลยที่ 6,7 ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐนั้น
ในส่วนของจำเลยที่ 4,5 ทางไต่สวนได้ความว่ามีชื่อเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 6,7 แต่มิได้เป็นผู้มีอำนาจในการบริหารงานของจำเลยที่ 6,7 ที่แท้จริง ผู้มีอำนาจที่แท้จริงคือนายสนอง
โดยจำเลยที่ 4,5 ให้การและนำสืบทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองไม่รู้เห็นและไม่ทราบเรื่องที่นายสนองอนุญาตให้นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 ใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 ไปซื้อซองประกวดราคา เข้าเสนอราคาและทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท ทั้งมิได้เป็นผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัย ไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อที่จำเลยที่ 4,5 ขอให้ศาลส่งหนังสือมอบอำนาจที่ระบุว่า จำเลยที่ 4,5 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัย ไปดำเนินการเรื่องดังกล่าว ไปให้กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจพิสูจน์ ซึ่งผู้ตรวจพิสูจน์ให้ความเห็นว่า ไม่ใช่ลายมือชื่อของบุคคลเดียวกัน และเจือสมกับที่พยานโจทก์ปากนางสาวอัญชลี ได้ให้การและเบิกความยืนยันว่า จำเลย 4,5 ไม่เคยสั่งให้พยานทำ รับมอบหรือส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับโครงการพิพาท
ทั้งนางนฤมล ซึ่งเป็นบุตรสาวนายสนอง ก็ให้การและเบิกความทำนองว่า เพิ่งมาทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 จากนางสาวอัญชลีและนายสนอง ภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้ว
จึงเป็นไปได้ว่า จำเลยที่ 4-5 ทราบเรื่องดังกล่าวภายหลังจากที่มีการประกวดราคาโครงการพิพาทเสร็จสิ้นแล้วเช่นกัน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 4-5 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำ
ส่วนจำเลยที่ 1-2 และ ที่ 6-7 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่พยานโจทก์ให้การ และเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญว่า
จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6,7 จากนายสนอง นำไปเป็นผู้เสนอราคาในการประกวดราคาก่อสร้างโครงการพิพาท โดยจำเลยที่ 1 สั่งการให้จำเลยที่ 2 และนายชนะชัย ไปซื้อซองเอกสารประกวดราคาพร้อมแบบแปลนอาคาร ยื่นเอกสารประกวดราคา และเข้าร่วมเสนอราคาในนามของจำเลยที่ 6-7 และสั่งการให้จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อ เป็นผู้รับจ้างในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาท กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แทน จำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 6-7 มิได้มีเจตนาที่จะเข้าเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการพิพาทมาตั้งแต่แรก และมิได้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทตามสัญญาแต่อย่างใด
แต่จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ติดต่อหาช่างมาดำเนินการก่อสร้างโครงการพิพาทแทน และให้ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาดังกล่าวสั่งซื้อวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างโครงการพิพาท จากห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้างในเครือเดียวกันกับจำเลยที่ 6-7 โดยใช้ชื่อของจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อ
เมื่อสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3(บ้านโป่ง) อนุมัติให้เบิกจ่ายเงินค่าจ้างก่อสร้าง และโอนเงินค่าจ้างเข้าบัญชีของจำเลยที่ 6 จึงนำเงินที่ได้รับดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ค่าวัสดุ ที่มีการสั่งซื้อจากห้างหุ้นส่วนจำกัด และคืนเงินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยที่ 2 นำไปจ่ายเป็นค่าแรงให้แก่ช่างที่จำเลยที่ 3 จัดหามาต่อไป
เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-2และที่ 6-7 ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่จำเลย 6-7 เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
แต่อย่างไรก็ดี สาเหตุที่จำเลยที่ 1 ขอใช้ชื่อจำเลยที่ 6-7 จากนายสนอง เชื่อว่าเป็นเพราะไม่มีผู้สนใจเข้าเป็นผู้เสนอราคา และจำเลยที่ 1 เกรงว่า งบประมาณที่ได้รับจะตกไป ทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการพิพาทได้ จำเลยที่ 1 จึงขอให้นายสนองช่วยเหลือ โดยขอใช้ชื่อห้างของนายสนองมาเป็นผู้เสนอราคา
โดยจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการใดอันเป็นการกีดกันมิให้ผู้อื่นเข้ามาเสนอราคา หรือเอาเปรียบกรมอุทยานแห่งชาติแต่อย่างใด และเมื่อการประกวดราคาโครงการพิพาทมีผู้เสนอราคาเพียง 2 ราย คือจำเลยที่ 6,7เท่านั้น โดยเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะต้องแข่งขันราคากัน แต่เหตุที่ต้องใช้ชื่อจำเลยเข้าเป็นผู้เสนอราคา น่าจะเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการเป็นผู้เสนอราคาเดียว ซึ่งคณะกรรมการประกวดราคาอาจเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการให้ยกเลิกการประกวดราคาได้
ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาหรือความมุ่งหมายที่จะมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมในการประกวดราคาโครงการพิพาท
พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติ หรือกระทำการใดๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าเสนอราคารรายใด ให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ เมื่อจำเลยที่ 1 ตัวการไม่มีความผิดฐานนี้ จำเลยที่ 2,6,7 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ หรือไม่นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการตรวจการจ้างโครงการพิพาท มีหน้าที่ตรวจสอบรายงานผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง และเหตุการณ์แวดล้อมที่ผู้ควบคุมงานรายงาน โดยตรวจสอบกับแบบรูปรายการละเอียดและข้อกำหนดในสัญญา
เมื่อตรวจเห็นว่าเป็นการถูกต้อง ครบถ้วนเป็นไปตามแบบรูปรายการละเอียด และข้อกำหนดในสัญญาแล้ว ก็ต้องทำใบรับรอง เพื่อเบิกจ่ายเงินตามระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินจากคลัง แล้วรายงานให้หัวหน้าส่วนราชการทราบ ในกรณีที่เห็นว่าผลงานที่ส่งมอบ ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการในสัญญาก็ต้องรายงานหัวหน้าส่วนราชการผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุเพื่อทราบ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ
พยานหลักฐานโจทก์ ตามทางไต่สวนได้ความว่า จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ติดต่อหาช่างมาดำเนินโครงการพิพาท และให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงานฝ่ายผู้รับจ้าง โดยจำเลยที่ 1 มิได้เข้าไปควบคุมงานด้วยตนเอง เมื่อมีปัญหาข้อขัดข้องไม่สามารถก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ นายรุ่ง จะสอบถามและดำเนินการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องไปตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 แจ้งปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ทราบด้วยหรือไม่
จึงเชื่อว่าขณะที่จำเลยที่ 1 เข้าไปตรวจการจ้างโครงการพิพาท จำเลยที่ 1 อาจไม่เห็นงานก่อสร้างโครงการพิพาทที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุในส่วนรายการที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา เช่น ในส่วนของงานฐานราก เป็นต้น
แต่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่นายสัมฤทธิ์และนายรุ่ง ต่างให้การและเบิกความสอดคล้องกันว่า นายรุ่ง ก่อสร้างโครงการพิพาทไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการ และบัญชีแสดงปริมาณวัสดุซึ่งสามารถตรวจสอบและมองเห็นได้ด้วยตาหลายรายการ อาทิ ในส่วนอาคารที่ทำการ ตามบัญชีแสดงปริมาณวัสดุระบุโครงสร้างหลังคา เช่น อกไก่ จันทัน แป อะเส ตะเฆ่ ฯลฯ เป็นไม้เนื้อแข็ง และตามแบบรูปรายการระบุเป็นไม้แต่กลับมีการก่อสร้างโดยใช้เหล็กรูปพรรณแทนไม้เนื้อแข็ง ในส่วนงานมุงหลังคา ไม่พบรางน้ำฝนรอบอาคารที่ทำการตามที่กำหนดในบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ในส่วนโถส้วมของอาคารที่ทำการและบ้านพักคนงาน ขนาด 4 ครอบครัว (แบบแยกหลัง) ตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุที่กำหนดให้มีโถส้วมเป็นแบบนั่งราบมีถังเก็บน้ำ (ฟลัชแท็งก์) รุ่นประหยัดน้ำ 6 ลิตร แต่นายรุ่งกลับใช้โถส้วมเป็นแบบนั่งราบราดน้ำ
จำเลยที่ 1 ทำหนังสือชี้แจงและเบิกความรับว่า เดินทางไปตรวจสอบงานก่อสร้างว่าผู้รับจ้างปฏิบัติงานถูกต้องเป็นไปตามแบบรูปรายการหรือไม่ ย่อมจะต้องเห็นงานก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุดังกล่าว ทั้งทราบดีว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามสัญญามิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท และนายรุ่ง มิใช่ผู้รับจ้างช่วงจากจำเลยที่ 6
การที่จำเลยที่ 1 ตรวจรับงาน และลงลายมือชื่อรับรองในใบตรวจการจ้าง และรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างว่า ถูกต้องตามสัญญาจ้างงวดที่ 1-10 (งวดสุดท้าย) เป็นเงินจำนวน 3,527,000 บาท จึงเป็นการรายงานเท็จ อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ส่วนที่อ้างทำนองว่า ไม่มีเจตนาทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือรัฐได้รับความเสียหาย และไม่มีเจตนาทุจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารายการวัสดุก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ มีราคาถูกกว่ารายการตามที่ระบุในแบบรูปรายการและบัญชีแสดงปริมาณวัสดุ ทั้งจำเลยที่ 6 มิได้เป็นผู้ก่อสร้างโครงการพิพาท จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าจ้างจากกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตามสัญญา
การที่จำเลยที่ 1 ตรวจรับงาน และลงลายมือชื่อรับรอง เพื่อเป็นหลักฐานให้สำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3อนุมัติให้เบิกจ่ายเงิน 3,499,037 บาทให้แก่จำเลยที่ 6 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติฯ และเป็นผลให้จำเลยที่ 6 และนายรุ่ง ได้รับประโยชน์ จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริตฯ
พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดฯเเละเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
พิพากษาว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 123/1 การกระทำเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี 6 เดือน
คำเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2-7 ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกทั้งนี้ ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 1 ในระหว่างอุทธรณ์ ตีราคาประกัน3 เเสนบาท