
13 กันยายน 2568 แม้ อดีตนายกฯทักษิณ จะถูกบังคับโทษ เข้าเรือนจำไปหลายวันแล้ว แต่ข่าวคราวความเคลื่อนไหวยังคงปรากฏอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สังคมก็ยังคงเฝ้าติดตามและจับตา เพราะหลายฝ่ายยังไม่ไว้วางใจว่าจะมีการใช้อภิสิทธิ์อะไรอีกหรือไม่
แต่ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ทันทีที่อดีตนายกฯทักษิณถูก “บังคับโทษ” ในรอบนี้ แปลว่าตัวท่าน “ติดคุกจริง” เรียบร้อยแล้ว อำนาจการ “บริหารโทษ” เป็นของกรมราชทัณฑ์อย่างสมบูรณ์ โดยมีกฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ รองรับอยู่
ในชั้นนี้เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ “บังคับโทษ” ตามหมายจำคุกแล้ว ย่อมถือว่าอดีตนายกฯทักษิณโดนจำคุกจริง และอยู่ในอำนาจของกรมราชทัณฑ์ โดยฝ่ายตุลาการไม่น่าจะมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบได้อีกแล้ว หากมีการกระทำใดที่หมิ่นเหม่ละเมิดต่อกฎหมาย ก็จะมีกลไกตรวจสอบกรมราชทัณฑ์ เช่น ร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือ องค์กรอิสระอื่น
ส่วนการหาหนทาง “ติดคุกให้น้อยที่สุด” หรือ “ติดคุกในระยะเวลาสั้นที่สุด” ถือเป็นสิทธิของผู้ต้องขัง และทุกคนก็พยายามทำแบบนี้ เพื่อให้ตัวเองได้รับอิสรภาพโดยเร็ว จะไปต่อว่าผู้ต้องขังที่คิดแบบนี้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีใครอยากติดคุกนาน
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่สังคมพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา และมีข่าวลือว่า อดีตนายกฯ หรือทีมกฎหมาย ทีมทนาย กำลังหาช่องทางทุกช่องทาง เพื่อให้ติดคุกสั้นที่สุด และได้รับการ “ลดหย่อนผ่อนโทษ” หรือ “พักโทษ” หรือ “ออกมาคุมขังหรือรับโทษแบบอื่นนอกเรือนจำ” โดยเร็วที่สุด
ลุ้นวาระอภัยโทษ - พักโทษต้องรอ 6 เดือน
รายการ “ข่าวข้นคนข่าว” ตรวจสอบช่องทางที่เป็นไปได้ และอุปสรรคปัญหาที่อาจเกิดกับอดีตนายกฯ โดยเฉพาะการมีประวัติถูกไต่สวนเรื่อง “ไม่ถูกบังคับโทษ” มารอบหนึ่งแล้ว อาจะทำให้ช่องทางต่างๆ ถูกปิด หรือทำแล้วประสบความสำเร็จยากขึ้น
1. ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคล - เป็นสิทธิของผู้ต้องขัง หรือนักโทษเด็ดขาด สามารถขอได้ทันทีด้วยตนเอง ซึ่งในช่วงที่โดนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 8 ปี เมื่อปี 2566 อดีตนายกฯทักษิณ ก็ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลมาแล้ว และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือจำคุก 1 ปี เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566
จากนั้นอดีตนายกฯ ได้รับการพักโทษ หรือ “พักการลงโทษ” กลับไปอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยจะครบกำหนดพ้นโทษ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 แต่อดีตนายกฯทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป พร้อมกับผู้ต้องขังคนอื่นๆ อีกนับหมื่นคน ทำให้อดีตนายกฯพ้นโทษตั้งแต่ราวๆ กลางเดือนสิงหาคม และขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์กับเครือเนชั่นได้ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567
สำหรับการเข้ารับโทษจำคุกรอบนี้ ต้องรอดูว่า อดีตนายกฯทักษิณจะขอพระราชทานอภัยโทษอีกหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่อดีตนายกฯ มีโอกาสได้รับ แม้จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคล คือ การได้รับพระราชทานอภัยโทษในวาระพิเศษต่างๆ พร้อมกับผู้ต้องขังรายอื่นๆ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
2. ขอพักการลงโทษ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “พักโทษ” ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 52 (7) แต่มีเงื่อนไขต้องรับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า ซึ่งกรณีของอดีตนายกฯ ต้องยึดหลักเกณฑ์ 6 เดือน เพราะมากกว่า 1 ใน 3 ของโทษจำคุก 1 ปี คือ 4 เดือน
กรณี “พักโทษ” อดีตนายกฯเคยได้รับมาแล้ว เมื่อครั้งอ้างว่าถูกคุมขังที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจครบ 6 เดือน เข้าเกณฑ์ตามกฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา 52 (7) ฉะนั้นหากครั้งนี้จะได้รับการ “พักโทษ” อีก ก็ต้องถูกคุมขังครบ 6 เดือนก่อน
การ “พักโทษ” หรือ “พักการลงโทษ” เป็นมาตรการที่ใช้กับนักโทษเด็ดขาดชั้นดีเยี่ยม ซึ่งมีระยะเวลาจำคุกเหลือน้อยมาก จึงมีสถานะใกล้เคียงกับ “พ้นโทษ” สามารถเดินทางในจังหวัดที่ตัวผู้ต้องขังแจ้งกับกรมราชทัณฑ์ หรือกรมคุมประพฤติได้ และสามารถเดินทางออกนอกเขตจังหวัดได้ แต่ต้องขออนุญาต รวมถึงอาจได้รับการยกเว้น ไม่ต้องติดกำไลอีเอ็มด้วย เหมือนกับกรณีที่อดีตนายกฯทักษิณ เคยได้รับสิทธินี้มาแล้ว
ปิดช่อง? “พักโทษกรณีพิเศษ” โมเดลอดีต นปช.
3. ขณะนี้มีการพูดถึงช่องทาง “พักโทษกรณีพิเศษ” โดยยกเคสของ คุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ และ คุณหมอเหวง โตจิราการ อดีตแกนนำ นปช. ที่โดนศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน ในคดี “บุกบ้านป๋าเปรม” แต่ทั้งคู่อยู่ในเรือนจำจริงๆ ประมาณ 2 เดือนเท่านั้น และได้รับการปล่อยตัวจากการ “พักโทษกรณีพิเศษ” เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2563 โดยใช้เกณฑ์ผู้ต้องขังสูงอายุ และมีอาการป่วย โดยก่อนได้รับการปล่อยตัว ทั้งคู่เข้ารับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
จากการสอบถามแหล่งข่าวระดับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ได้ข้อมูลว่า ไม่แน่ใจว่ากรณีคุณวีระกานต์ และคุณหมอเหวง ได้รับพระราชทานอภัยโทษก่อนได้รับการ “พักโทษ” หรือไม่ คงต้องไปตรวจสอบย้อนหลัง แต่ในช่วงนั้นเป็นรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และมีกระแสวิจารณ์พอสมควร จำได้ว่ามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ มีอดีตอัยการสูงสุดเป็นประธาน และภายหลังมีการเพิ่มหลักเกณฑ์ ทั้งการได้รับพระราชทานอภัยโทษ และพักโทษ ต้องจำคุกมาแล้วอย่างน้อย 1 ใน 3 ก่อน
“ขังนอกคุก” อุปสรรคเพียบ!
4. ใช้ระเบียบและประกาศ “ขังนอกคุก” แต่แนวทางนี้กำลังถูกจับตาจากทุกฝ่าย และมีข้อจำกัดมากพอสมควร
สำหรับกล้องวงจรปิด ยังมีในส่วนของ “ผู้ดูแลสถานที่คุมขัง” ซึ่งจะต้องออกค่าใช้จ่ายเองด้วย และต้องติดตั้งในจุดที่ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กำหนด
ขณะที่ผู้ต้องขังที่ได้รับสิทธิ “ขังนอกคุก” โดยไปคุมขังใน “สถานที่คุมขังอื่น” ก็ต้องติดกำไลอีเอ็มทุกราย จะมียกเว้นบ้างก็เฉพาะผู้ที่ป่วยหนัก หรือเป็นผู้ป่วยติดเตียง หรือพิการ ไม่สามารถหลบหนีได้เท่านั้น
จริงๆ แล้วประกาศ “ขังนอกคุก” ของกรมราชทัณฑ์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และตั้งเป้าจำแนกผู้ต้องขังตามประกาศ และส่งไป “ขังนอกคุก” ล็อตแรกจำนวน 20,000 คน แต่ปรากฏว่าติดปัญหาเรื่องงบประมาณในการจัดซื้อกล้องวงจรปิด และกำไลอีเอ็ม ทำให้ไม่สามารถดำเนินการให้ผู้ต้องขังไป “ขังนอกคุก” กลุ่มแรกได้ แม้จะบังคับใช้ประกาศกรมราชทัณฑ์มานานเกือบ 6 เดือนแล้ว
เช่น หากกรมราชทัณฑ์ประกาศให้บ้านของคุณทักษิณ เป็น “สถานที่คุมขังอื่น” คุณทักษิณก็จะนอนที่บ้านได้ แต่ไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้ และยังต้องอยู่ในห้องที่กำหนด รวมทั้งมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ อย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมง การจะเดินทางออกจากบ้าน ซึ่งเป็น “สถานที่คุมขังอื่น” ต้องไปยัง “สถานที่คุมขัง” ตามประกาศของกรมราชทัณฑ์เท่านั้น เช่น ไปโรงพยาบาล ก็ต้องเป็นโรงพยาบาลตามประกาศ และต้องได้รับอนุญาตให้เดินทางไป หรือไปฝึกอาชีพ ก็ต้องเป็นสถานที่ฝึกอาชีพตามประกาศของกรมราชทัณฑ์ และต้องมีตารางเวลาให้เดินทางไปฝึกอาชีพ ไม่ใช่เดินทางได้อย่างเสรี
ทั้งหมดนี้คือความยุ่งยาก และข้อจำกัดของช่องทาง “ขังนอกคุก” ซึ่งหากอดีตนายกฯทักษิณ เพิ่งเข้าเรือนจำไปไม่กี่วัน แล้วมีการประกาศให้ผู้ต้องขัง 20,000 คนแรก ไป “นอนนอกคุก” ได้ทันที ก็จะเกิดกระแสวิจารณ์ในสังคมอีกว่า เร่งรัดเพื่อเอื้อประโยชน์ใครเป็นพิเศษหรือไม่